หลังจากที่ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่ไปได้เพียงไม่นาน ในปี 2022 นี้ ก็ถึงเวลาอีกครั้งที่ Nissan Navara จะได้รับการปรับโฉมเพื่ออัพเดทออพชันให้หน้าสนใจขึ้นอีกขั้น ไม่เว้นแม้แต่ Nissan Navara Black Edition รุ่นตกแต่งพิเศษที่ถูกนำกลับมาทำตลาดอีกครั้ง ให้เราได้รีวิวกันในคราวนี้
ก่อนจะไปไล่เรียงถึงสัมผัสที่ได้จากการทดสอบ เราคงต้องขอไล่เรียงถึงสิ่งที่เป็นจุดขายที่แท้จริงของ Nissan Navara Black Edition รุ่นปี 2022 เป็นอย่างแรก นั่นคือ การที่เจ้ารถกระบะรุ่นย่อยพิเศษรุ่นนี้ ได้ถูกทำขึ้นมาเพื่อเสริมภาพลักษณ์และเน้นย้ำความแข็งแกร่งและดุดันของตัวรถเป็นหลัก โดยจับรถรุ่น Calibre E มาต่อยอด เพื่อเพิ่มความลงตัวมากขึ้น ในการใช้งาน ด้วยการใส่ชิ้นส่วนตกแต่งเข้าไปมากมาย ตั้งแต่
- กระจังหน้า Interlock สีดำ
- กรอบกระจกมองข้างสีดำ
- ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำเงา รัดด้วยยาง ขนาด 255/60R18 (ล้อลายเดียวกันกับ ตัวรถรุ่น V แต่ไม่มีการปัดเงา)
- ชุด Overfender หรือคิ้วซุ้มล้อขนาดใหญ่สีดำ (ซึ่งชิ้นส่วนนี้ลูกค้าที่ใช้ Navara รุ่นอื่น สามารถเบิกแยกได้)
- แถบกันกระแทกที่กันชนหน้าด้านล่างสีดำ
- กันชนท้ายสีดำ
- มือจับประตูสีดำ
- มือเปิดกระบะท้ายสีดำ
- สติ๊กเกอร์ลายเฉพาะรุ่น บริเวณฝากระโปรงหน้า และซุ้มล้อหลัง
- เสาอากาศคลีบฉลามสีดำ
ขณะเดียวกันในห้องโดยสาร ก็ถูกเพิ่มชิ้นส่วนตกแต่งที่เน้นสีดำ ตามฉบับ Black Edition ทั้ง
- กรอบช่องแอร์
- มือจับเปิดประตู
- ที่วางแก้ว
- กรอบฐานเกียร์
- ที่พักแขนประตู
- ขอบประตู
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หลายๆชิ้นส่วน คือชิ้นส่วนที่ถูกหยิบยืมมาจากตัวรถรุ่นท็อปของ Navara อย่าง Pro-Series ทั้ง Pro4X และ Pro2X…
และ ในเมื่อจุดขายหลักๆของตัวรถ Black Edition คือการตกแต่งชิ้นส่วนจุกจิกต่างๆ เพื่อความหล่อเข้ม ดุดัน ในส่วนของรายละเอียดทางเทคนิคและออพชันอื่นๆของตัวรถ จึงเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากตัวรถ Nissan Navara Calibre E เพราะใช้พื้นฐานเดียวกัน
เริ่มจาก ในส่วนขุมกำลังของมัน จึงยังคงให้พละกำลังสูงสุดเท่าเดิม ทั้งในส่วนของ
- Nissan Navara Double Cab / King Cab – Black Edition รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ YS23DDTT ดีเซล 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ จ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมมอนเรลไดเรกอินเจคชัน ความจุ 2,298cc อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 :1 ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า PS ที่ 3,750 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันดีเซล B20 ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง
- Nissan Navara Double Cab / King Cab – Black Edition รุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ YS23DDT ดีเซล 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบเดี่ยวแบบแปรผัน VGS จ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมมอนเรลไดเรกอินเจคชัน ความจุ 2,298cc อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 :1 ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า PS ที่ 3,750 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันดีเซล B20 ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง
ด้านส่วนควบอื่นๆที่สำคัญๆเองก็ยังคงเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- แชสซีย์แบบโมโนเฟรม
- ระบบกันสะเทือนด้านหน้า แบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
- ระบบกันสะเทือนด้านหลัง แหนบซ้อนกันหลายแผ่นพร้อมโช้กอัพ
- ระบบเบรกด้านหน้า ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน
- ระบบเบรกด้านหลัง ดรัมเบรก
- ระบบบังคับเลี้ยว แบบ แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์เสริมกำลัง
- ถังน้ำมันความจุ 80 ลิตร
เว้นเพียง หากเทียบตัวเลขมิติตัวรถในด้านต่างๆของ Navara Calibre E ในทุกแบบตัวถัง ทุกระบบส่งกำลัง กับ Navara Calibre Black Edition สำหรับฝ่ายหลัง ที่มาพร้อมกับรูปแบบตัวถัง และระบบส่งกำลังเดียวกัน ก็จะมีน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นมา 4 กิโลกรัม กับส่วนสูง ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 25 มิลลิเมตร ซึ่งทั้งนี้ก็มาจากการเปลี่ยนไปใช้ชุดล้อใหม่ที่ทั้งใหญ่ และสูงกว่าเดิมนั่นเอง
แน่นอนว่า ฝั่งออพชันเสริมระบบความปลอดภัย และความสะดวกสบายของผู้ใช้อื่นๆ ก็ไม่หนีกันเลยแม้แต่น้อย ระหว่างตัวรถ Navara รุ่น E และ Navara Black Edition เช่น
- ระบบเบรก ABS EBD และ BA
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ระบบป้องกันการลื่นไถล
- ระบบควบคุมการทรงตัว
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
- ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน
- ระบบกล้องมองภาพรอบคัน
- ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน
- จอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ และระบบ Apple CarPlay / Android Auto
- ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (สำหรับรุ่น Double Cab)
เป็นต้น
และ ด้วยจุดเปลี่ยนที่มีความแตกต่างเพียงเฉพาะชิ้นส่วนตกแต่งภายนอกกับภายใน และน้ำหนัก กับส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จึงทำให้ Nissan Navara Black Edition ยังคงมีสมรรถนะในภาพรวมที่ไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก Navara รุ่น E (ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านทำความเข้าใจกันก่อนว่า ผู้เขียนจะอธิบายถึงสัมผัสของตัวรถรุ่นตัวถัง 4 ประตู หรือ Double Cab ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสทดสอบเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงตัวรถรุ่น King Cab)
เริ่มจากความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ด้วยตัวเบาะนั่งคู่หน้า ที่ตัวรองบั้นท้าย กับพนักหลังมีความนุ่มกำลังดี และค่อนข้างกว้างจนผู้ขับไซส์หมี (สูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร แต่น้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม) ยังสามารถโยกตัวไปมาได้เล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าหากมองในแง่ดี มันก็สื่อถึงความสบายและความโอดโถงของตัวเบาะ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อต้องเข้าโค้งเร็วๆขึ้นมา มันก็มีโอกาสที่ผู้ขับจะตัวไหลไปตามแรงเหวี่ยงได้ง่าย และมีอีกหนึ่งจุดสังเกตที่ตามมาคือหมอนหัวเบาะนั้นค่อนข้างจะดันหัวไปสักนิด จึงทำให้การนั่งขับยาวๆยังรู้สึกไม่ผ่อนคลายเท่าไหร่นักในจุดนี้
ในขณะเดียวกัน แม้สัดส่วนตัวรถภายนอกจะดูบึกบึน เป็นเปลี่ยมเป็นสัน แต่พวงมาลัยที่ให้มาขนาดกำลังดี สามารถจับได้ถนัดมือ และปรับได้หลายทิศทาง ทั้งความสูง-ต่ำ และใกล้-ไกล กลับมีหน้าตาของตัวก้าน ที่ดูเพรียวบาง จนบางครั้งก็รู้สึกว่ามากไปหน่อย สำหรับการนำมาใช้กับรถกระบะ เช่นเดียวกันกับเส้นสายคอนโซลที่ดูจะป่องเข้ามาหาผู้โดยสารมากไปนิด แต่ทั้งนี้ก็ยังดีตรงที่ปุ่มต่างๆช่วงกลางคอนโซลถูกออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่ และอยู่ในระนาบที่สามารถกดใช้งานได้ง่าย
ด้านเบาะนั่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง น่าเสียดายที่ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นเพียงการทดสอบระยะสั้น ตัวผู้เขียนจึงยังไม่สามารถไล่เรียงรายละเอียดในเรื่องสัมผัสจากการใช้งานได้มากเท่าไหร่นัก นอกไปเสียจากความกว้าง และยาวของตัวเบาะที่รับกันกับช่วงขา โดยที่ระยะ Leg Room เองก็จัดว่าเหลือเฟือสำหรับผู้โดยสารที่สูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร และพนักหลังที่เอนกำลังดีสำหรับการนั่งในระยะสั้น
ส่วนการนั่งโดยสารเป็นระยะทางไกลๆยังต้องรอเก็บข้อมูลกันต่อไป ว่ามันจะทำให้ผู้โดยสารมีอาการเมื่อยล้าได้ง่ายหรือไม่ เมื่อเราได้มีโอกานำตัวรถรุ่นนี้มาทดสอบแบบจัดเต็มกันอีกที
ต่อกันในเรื่องของสมรรถนะจากการขับขี่กันบ้าง สิ่งแรกที่เราต้องไล่กันก่อน ก็คงต้องเป็นเรื่องของน้ำหนักพวงมาลัย ที่แม้มันจะไม่ได้ใช้พวงมาลัยไฟฟ้าเหมือนกับรถกระบะยุคใหม่ๆ แต่ทางนิสสันก็ปรับเซ็ทน้ำหนักพวงมาลัยไว้ค่อนข้างพอดีทั้งในช่วงความเร็วต่ำ ที่ไม่ได้หนักมากไป และผู้ขับก็ไม่ต้องสาวพวงมาลัยมากนักเมื่อต้องขับรถเข้าซองจอด ตอนหักรถออกจากซอยถนนแคบๆ หรือแม้แต่ตอนยูเทิร์น
เช่นเดียวกันเมื่อต้องขับรถด้วยความเร็วปานกลาง-สูง ระยะฟรีของตัวพวงมาลัยเอง ก็มีความกระชับไม่โหวง แต่ก็ไม่คมจนเกินไป ผู้ขับสามารถควบคุม พร้อมกะจังหวะการเลี้ยวของตัวรถได้ง่าย และมั่นคง โดยแม้มันอาจจะไม่ได้มีความหนืดในช่วงความเร็วสูงมากนัก เมื่อเทียบกับรถกระบะที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า แต่หากมองที่ความเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ธรรมดาๆ การเซ็ทออกโรงงานมา แล้วได้น้ำหนักพวงมาลัยที่สามารถใช้งานได้ดีทั้งในช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูงเช่นนี้ก็ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจแล้ว
ในส่วนของระบบกันสะเทือน จุดนี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ Nissan Navara Black Edition สามารถทำได้ดี และมีความเป็นรถกระบะ ตรงยุคปี 202X ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
กล่าวก็คือ ในขณะที่กระบะ 4 ประตูในยุคปัจจุบัน นับวัน หลายๆแบรนด์ก็จะเริ่มมีการเซ็ทอัพช่วงล่างรถของพวกเขาให้มีความนุ่มนวล นั่งสบายคล้ายกับรถเก๋งมากขึ้น จนเสียความสามารถในการบรรทุกของหนักไป โดยที่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่ยังคงเน้นการเซ็ทอัพช่วงล่างรถกระบะ 4 ประตู ของตนเอง ให้มันความท้ายแข็งเผื่อไว้สำหรับการบรรทุกของหนัก จนพอขับรถตัวเปล่าแล้วกลายเป็นกระด้างมากไปแทน
สำหรับตัวรถ Navara ที่เราได้นำมาทดสอบนั้น กลับให้ความรู้สึกการทำงานของช่วงล่างที่อยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสองฝั่งได้อย่างพอดิบพอดี นั่นคือแม้อาการของช่วงล่างด้านท้าย จะยังคงมีอาการส่งแรงกระแทกขึ้นมาถึงตัวผู้โดยสารที่นั่งอยู่ภายในรถนิดๆ แต่มันก็เป็นอาการที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้นำรถวิ่งผ่านช่วงผิวถนนที่มีความขรุขระ อย่างฝาท่อ, เส้นแบ่ง, หรือ รอยแตกบนผิวถนน เท่านั้น
โดยที่จังหวะในการยืดยุบของตัวระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อต้องเหวี่ยงรถเข้าโค้งแรงๆเองก็ยังคงอยู่ตัว ไม่ได้จมเร็วจนหวิว หรือคืนตัวเร็วจนน่าหวั่นใจ ซึ่งในจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่เข้ากันดีกับน้ำหนักพวงมาลัยที่เราได้เกริ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
แม้แต่น้ำหนักของตัวแป้นเบรกเอง ก็ไม่ได้ลึก หรือตื้นจนเกินไป แถมยังสามารถกะน้ำหนักแรงเบรกได้ง่าย สำหรับการใช้งานในสภาวะปกติ (ที่ต้องบอกเช่นนี้ก็เพราะ ในการทดสอบครั้งนี้ เราต้องขับรถร่วมกับพี่ๆสื่อท่านอื่น ซึ่งขับรถตามกันเป็นขบวน ดังนั้นการทดลองเบรกหนักๆ เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทดสอบได้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทริป)
สุดท้ายก็ต้องเป็นในเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ ที่หากมองจากตัวเลขทั้งความจุ และตัวเลขสมรรถนะที่ทำได้ คุณก็จะพบอีกครั้งว่า Navara มันก็มาพร้อมกับขุมกำลังที่มาพร้อมกับศักยภาพในระดับกลางกลุ่มอีกครั้ง หรืออาจจะค่อนไปทางบนด้วย เมื่อมองจากออพชันความเป็นรถตัวขับสองยกสูง เกียร์อัตโนมัติ
ดังนั้น ด้วยแรงม้า 190 ตัว และแรงบิดอีก 450 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ จึงทำให้ Navara Calibre Black Edition รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่ผู้เขียนได้ทำการทดสอบนั้น มีความสามารถในการเรียกอัตราเร่งที่ติดเท้าใช้ได้เลยทีเดียวในจังหวะที่ต้องออกตัว ส่วนในจังหวะที่ต้องใช้ความเร็วคงที่ พร้อมเผื่อแซงอีกเล็กน้อย การเติมคันเร่งลงไปเพียงนิดหน่อย ก็ทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถเรียกกำลังเพื่อเติมความเร็วขึ้นอีกได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงความเร็วเดินทางราวๆ 100 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ติดก็ตรงที่ แม้ในชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดที่ให้มา จะสามารถทำงานได้เรียบเนียน จนผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารแทบจะไม่รู้สึกถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทั้งขาขึ้นและขาลง นอกจากเสียงรอบเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไป แต่หากคุณต้องการจะเติมคันเร่งอย่างกระทันหัน (คิกดาวน์) เพื่อกะเร่งแซงแบบอึดใจเดียว ดูเหมือนว่าระบบส่งกำลังชุดนี้จะต้องใช้เวลาคิดสักนิด (ราวๆ 1-2 วินาที) มันถึงจะยอมเชนจ์เกียร์ลงเพื่อเรียกกำลังรอบเครื่องฯขึ้นมาให้ไต่ความเร็วขึ้นไปได้ ซึ่งทั้งนี้ก็คาดว่าอาจเป็นการเซ็ทติ้งเพื่อถนอมเกียร์ ไม่ให้สึกหรอจากแรงบิดของเครื่องยนต์มากเกินไป (แต่ถ้ามันกระชับกว่านี้อีกหน่อย จะถูกใจวัยรุ่นมากเลยทีเดียว)
ส่วนสิ่งที่เราต้องค้างกันเอาไว้ในเรื่องของเครื่องยนต์ ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง และการเก็บตัวเลขอัตราเร่งที่แท้จริงของมันกันอีกครั้ง ซึ่งเราต้องขอยกยอดอเอาไว้ก่อน จนกว่าจะถึงโอกาสในการนำมารีวิวครั้งหน้า
สรุป รีวิว Nissan Navara Black Edition – Double Cab 7AT แบบวันเดย์ทริปในครั้งนี้ ส่วนตัวผู้ทดสอบคงต้องบอกว่ามันคือรถกระบะที่ให้สมรรถนะและอรรถประโยชน์ในการใช้งานได้อย่าง “เป็นกลาง” มากที่สุด เมื่อเทียบกับรถกระบะหลายๆรุ่นในตลาดประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของ นิสัยเครื่องยนต์ บุกคลิกระบบช่วงล่าง ความสะดวกสบายในการใช้งาน ออพชันต่างๆ
นอกจากนี้ หากมองในเรื่องของความคุ้มค่า ทุกท่านต้องไม่ลืมว่ามันคือรถกระบะเพียงไม่กี่รุ่น ที่ให้เครื่องยนต์ 190 แรงม้า ในราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท หรืออันที่จริง มันก็ถือเป็นรถกระบะเพียงรุ่นเดียวในช่วงราคานี้ด้วยซ้ำที่ให้เครื่องยนต์แบบเทอร์โบคู่ และด้วยความจุเครื่องยนต์ที่เล็กเพียง 2.3 ลิตร ดังนั้นภาษีรายปี ก็ย่อมถูกตัวรถที่มีพละกำลังใกล้กันแต่ใช้เครื่องยนต์ความจุ 2.8 – 3.0 ลิตร หลักพันกว่าบาทเลยทีเดียว
เมื่อประกอบกับหน้าตา ที่ถูกเสริมภาพลักษณ์ให้ดูโดดเด่น สะดุดตามากขึ้นในฉบับ Black Edition จึงทำให้มันเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับคนที่กำลังมองหากระบะสักคันด้วยโจทย์คือ “สมรรถนะการใช้งานที่ครอบคลุมและลงตัว อย่างพอดิบพอดี”
โดย Nissan Navara Black Edition จะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย 4 ราคา ให้ชาวไทยได้เลือกซื้อด้วยกัน ดังนี้
- Nissan Navara Black Edition – Double Cab 7AT : 934,000 บาท
- Nissan Navara Black Edition – Double Cab 6MT : 884,000 บาท
- Nissan Navara Black Edition – King Cab 7AT : 889,000 บาท
- Nissan Navara Black Edition – King Cab 6AT : 849,000 บาท
และตัวรถจะมีทั้งหมด 3 เฉดสีให้เลือกซื้อ นั่นคือสีแดง
- เบิร์นนิ่ง เรด
- สีดำ แบล็ค สตาร์
- สีขาว ไวท์ เพิร์ล
ขอขอบคุณ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่ให้เกียรติเชิญทีมงาน Ridebuster ร่วมทดสอบ 2022 Nissan Navara – Black Navara ในทริปทดสอบครั้งนี้
ผู้ทดสอบ / บทความ : รณกฤต ลิมปิชาติ