ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย “รถกระบะ” ก็เป็นขวัญใจคนไทยมาช้านาน รถกลุ่มนี้ถูกสร้างเพื่อการพาณิชย์ ระยะหลังถูกนำมาใช้งานส่วนตัว จะมีสักกี่ครั้งที่รถกระบะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโดนใจ สร้างช่องทางใหม่ในการตลาด ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อเหลือเกินว่า การมาของ Ford Ranger Raptor ได้ปฏิวัติวงการรถกระบะไทยและทั่วโลก จนเราเห็นขับกันเหลือถนน
โครงการ Ford Ranger Raptor เริ่มขึ้นในช่วงปี 2015 ปลายฟอร์ดเรนเจอร์ ก่อนไมเนอร์เชนจ์ หลังสื่อออสเตรเลีย พบรถที่กำลังทดสอบสุดประหลาด มันถูกยกสูง มียางลุย และเหมือนทางทีมงานฟอร์ด จะกำลังมีแผนทำบางอย่างกับมัน
อาจจะไม่ได้เป็นโครงการที่มีเรื่องเล่ามากมายนัก แต่ Ford Ranger Raptor ก็ยังเกิดจากความตั้งใจจริงของผู้สร้างมัน ผมขอเชิญพบกับ จามาล เฮมีดิ หัวหน้าวิศวกร Ford Performance ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการนี้
แม้ว่าจุดเริ่มต้นเรนเจอร์ อาจจะเหมือนการถ่ายเททางพันธุกรรมจากพี่ใหญ่ไปสู่น้องเล็ก ให้ลูกค้าได้จับต้องได้ หากชายผู้อยู่เบื้องหลังโครงการพัฒนารถคันนี้ก็มีดีกรีไม่ธรรมดา และผมอยากจะเล่าให้ทุกคนได้รู้จัก้ขา แม้วันนี้เขาจะจากลาฟอร์ด ไปอยู่กับบริษัทรถยนต์ประเทศอังกฤษแล้วก็ตาม
จามาล … อาจไม่ใช่ที่รู้จักในวงการรถสปอร์ตชั้นนำ หากย้อนเวลากลับไปสักหน่อย นี่คือผู้สร้างรถแข่งตัวลุยในการแข่งขัน Baha (อ่านว่า “บาฮา”) เขาทำงานคลุกฝุ่นกับรถแข่งมาหลายปี ก่อนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าวิศวกรของ SVT หรือ special Vehicle Team ซึ่งจัดตั้งในฟอร์ดอเมริกา
พูดถึง SVT คุณอาจพอคุ้นหูบ้าง ถ้าชอบรถฟอร์ดเป็นทุนเดิม จามาลคนเดียวกันนี้ เขาเป็นหัวหน้าโครงการพัฒนา Ford GT รุ่นแรก เจ้ารถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางสุดเร้าใจ ดูบางอารมร์แล้วติดแนวเรโทร เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา และหลังจากออกวางจำหน่ายในปี 2005 มันสร้างชื่อเสียงให้เขามากมาย จนเป็นที่รู้จัก
เขาต้องการผลงานชิ้นใหม่ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป เขาเคยอยู่เบื้องหลังรถแข่งทางฝุ่น เขาถามตัวเองว่า ทำไมรถกระบะถึงทำให้มันสปอร์ตไม่ได้ จะเป็นอย่างไร ถ้าทำรถกระบะที่มีความสปอร์ตฝังอยู่ในดีเอ็นเอ เขาคิดว่า คงจะดีนะ ถ้ากระบะสักคันที่เดินตามรอยรถแข่งบาฮา ให้ลูกค้ามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์เดียวกับนักแข่ง ความคิดนี้เลิศมาก และเขามีไฟในการทำงาน นำเสนอไอเดียต่อทีมบริหาร และเริ่มทำงานที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง
ความตั้งใจของจามาล เริ่มใน Ford F-150 SVT Raptor มันคลอดออกมาในปี 2010 พรรถหอมกับของเล่นท่านชายชุดใหญ่ รวมของดีที่สุดเท่าที่เงินจะสามารถซื้อหาได้ ไม่ว่าจะโช๊คอัพ Fox Racing Shock , ยาง BF Goodridge 35 นิ้ว เครื่องยนต์ V8 ใต้เรือนร่างพัฒนาโครงสร้างใหม่ จุดยึดต่างๆ ต้องมั่นใจว่าลุยแล้วจะไม่พังกลางทาง ทั้งหมดใส่ในกระบะที่เคยเป้นม้างาน
เขากอดคอ บรูซ วิลเลี่ยม ฝ่ายออกแบบอาวุโสของฟอร์ดในเวลานั้น มาทำให้รถดูดุดันมากขึ้น บรูซ บอกนี่มันงานหินอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาผมออกแบบรถใหม่ทั้งคัน แต่ในที่สุด เขาก็หาไอเดียเด็ดได้ๆ นายจะทำรถแข่งใช่ไหม จามาล มันคงต้องดูดุหน่อย เจ้า F-150 SVT Raptor จึงออกมาพร้อมควาดุดัน กระจังจังหน้าดำ กันชนหน้า-หลังหดสั้น เมื่อรวมกับความสูงของรถ และลายสติ๊กเกอร์เฉพาะรุ่น มันเรียกเสียเฮจากลูกค้า และ SVT กลายเป็นทีมชั้นนำของฟอร์ด เมื่อพูดถึงรถสมรรถนะสูงจากค่ายวงรีสีน้ำเงิน
ความสำเร็จของจามาล และทีมงานเขา ทำให้เมื่อฟอร์ดรวมเอาแบรนด์สมรรถนะยิบย่อยทั่วโลก ไม่ว่า จะ SVT ,Ford Team RS, Ford Performance Vehicle ทั้งหมดผสมกันมาในชื่อใหม่ Ford Performance จามาลจึงได้โอกาสมาเป็นผู้นำทัพด้วย
อีกครั้งที่เขาต้องการรถใหม่ใส่ไอเดียลงไป เขาตั้งใจว่าจะทำรถสมรรถนะแกร่งราคาถูกให้ลูกค้าสัมผัส เขาปฏิญาณอย่างนั้นไว้ตั้งแต่เริ่มเข้ามาเป็นวิศวกร เขาว่าเขาเข้าใจลูกค้า ด้วยอาชีพเซลล์แมนนอกเวลาเรียน ตอนสมัยวิทยาลัย
นี่เป็นโอกาสอีกครั้ง เขาชายตามาฝั่งตะวันออก เอ๊ะ! Ford Performance ไม่มีรถอะไรมาขายทางนี้เลย ใช่การเอา Ford Mustang มาขายพอจะทำยอดได้ แต่มันคงดีกว่าถ้าลูกค้าแต่รถที่มาจากแบรนด์สมรรถนะฟอร์ดได้ง่ายขึ้น เหมาะกับชีวิตพวกเขายิ่งขึ้น รถกระบะ Ford Ranger จึงถูกหมายหัวเอามาปั้นอีกครั้ง ด้วยดีกรีจากพี่ชาย F-150
หลายครั้งหลายหน ทีมฟอร์ด เชิญผมไปลุยเละเทะกับ Ford Ranger Raptor เห็นกี่ครั้ง ก็รู้สึกถึงนักกล้ามในฟิตเนสโดปเวย์ มาทั้งกระปุก เทียบกับเจ้าเรนเจอร์ปกติ เรียกว่ามันเป็นหนังคนละม้วน เจ้านี่ดูใหญ่ยักษ์ เก้งก้างกว่ามาก
ความกว้างตัวรถ 2,180 มม. รวมกระจกมองข้าง ยาว 5,398 มม. สูง 1,873 มม. ให้ฐานล้อยาว 3,220 มม. กล้ารับประกันว่า ท่านชายชอบลุยไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าโคตรสุด!! ในพ.ศ. นี้
ร่างกำยำที่เราเห็นมันพัฒนาจาก Ford Ranger รุ่นปกติ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแชสซี จุดยึด และครอสเมมเบอร์ใหม่ หลายจุดรองรับการขับขี่สมบุกสมบัน หน้าตาตัวรถให้กระจังหน้าใหม่สีดำด้านสักว่า “Ford” เห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล มาพร้อมโคมไฟโปรเจคเตอร์มีไฟ Day Time Runing Light
กันชนหน้าสูงกว่ารถรุ่นปกติ เรากับใส่กางเกงขาสั้นเดินป่าพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ความใหญ่ตัวรถส่วนหนึ่งมาจากการยืดระยะห่างระหว่างล้อซ้าย-ขวา หรือ Track อีก 150 มม. (ตีออกด้านละ 75 มม.) จนมีความกว้างระหว่างล้อ 1,710 มม. จนทางทีมงานต้องสร้างโป่งล้อใหม่ให้เจ้าแรพเตอร์ พวกเขาเลือกใช้ Sheet Molding Compound (SMC) มันเบากว่าเหล็ก และขึ้นรูปได้ตามต้องมีคลีบตรงซุ้มมาให้ ลดลมหมุนในซุ้มล้อระหว่างการขับขี่
ด้านข้างไม่มีอะไรมากมายนัก รถคันนี้ยกสูงอีก 65 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ จนมีระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถ 285 มม. พร้อมสรรพเรื่องลุย นั่นทำให้พวกเขาต้องติดตั้งบันได เพื่อให้ขึ้นลงรถง่าย บันไดชุดนี้ทำจากเหล็กออกแบบดูเท่ห์ ยิงทราย เพิ่มความถึกในการใช้งาน ชุดล้อลดขนาดจากรุ่นปกติมาเป็นขอบ 17 นิ้ว ตดตั้งยาง BF Goodridge KO2 All Terrain ให้ความรู้สึกพร้อมลุยจากโรงงาน ให้ขนาด 285/70/R17 ภาษาออฟโรดเรียกว่ายาง 33 นิ้ว
กระบะท้ายไม่ได้เล่นรายละเอียดอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงฝากระบะเปิด-ปิดง่ายดาย Ezy Lift Gate มีสติ๊กเกอร์มาให้ คุณรู้สึกว่ารถมีอะไรๆ น่าใช้มากกว่าเดิม น่าเสียดายบ้านเราดันไม่มี Roll Bar ติดมาให้ลูกค้า ไม่งั้นจะครบจบกว่านี้
ก้าวเข้าในห้องโดยสาร องค์ประกอบความเป็น Ford Ranger ยังอยู่เยอะ เพียงเปลี่ยนดีกรีให้รถดูสปอร์ตมากกว่าที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ชุดเบาะนั่งใหม่ออกมาเป้นทรงสปอร์ตมากขึ้น ใช้สีทูโทนขาว-ดำ ที่เบาะสักคำว่า Raptor ไว้ให้
ตรงหน้าคนขับได้พวงมาลัยชุดใหม่เฉพาะรุ่น มีคำว่า Raptor พร้อมปุ่มบนพวงมาลัยมากมายใช้ทั้งควบคุมหน้าจอเรือนไมล์ เครื่องเสียง รวมถึงมีระบบ Cruise Control มาให้เสร็จสรรพ ตอบโจทย์ครบเครื่องครบครัน
เรือนไมล์แรพเตอร์ไม่เหมือนกับรุ่นปกติ มันยังเป็นเข็มมีขนาดใหญ่ ตรงกลางมีจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว บอกค่าต่างๆครบถ้วน รวมถึงโหมดการขับขี่ปัจจุบัน อันที่จริงผมว่า ฟอร์ดเหมือนลืมบอกตำแหน่งเกียร์ที่ใช้ปัจจุบัน ต้องกดเกียร์ทุกครั้ง ถ้าอยากจะดูว่ารถขับอยู่ที่ตำแหน่งไหน
ด้านหลังเบาะนั่งใช้สีโทนเดียวกับด้านหน้าไม่มีลูกเล่นหวือหวามาก มีช่องเสียบไฟ 220 V เป็นทีเด็ดที่ผมชอบมันมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะสายชอบลืมชาร์จแบตเตอร์รี่อย่างผม มีปลั้กแบบนี้ช่วยได้เยอะมาก
ส่วนตรงกลาง มีระบบเครื่องเสียงทำงานผ่านจอสัมผัส Sync 3 เชื่อต่อง่ายสะดวกครบเครื่องมากขึ้น แอร์ออโต้ ที่คันเกียร์มีโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อ และปุ่มช่วงลุยต่างๆ เช่นปุ่มปิด ระบบควบคุมการทรงตัว , ปุ่ม E-Diff และ ระบบช่วยลงทางลาดชัน จับใช้งานง่ายถนัดมือ
///
ผมรู้ว่า คนคิดซื้อ Ford Ranger Raptor คงไม่ใช่คนมีรถคันเดียวในบ้าน แต่บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าคุณขับกระบะยักษ์ร่างโดปเวย์โปรตีน เข้าเมืองมันจะเป็นอย่างไร
ข้อดีของรถกระบะฟอร์ดทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นปี 2016 ขึ้นมา พวกมันติดตั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้ามาให้ นั่นทำให้การบังคับควบคุมง่ายขึ้น ไม่ต้องแอ่นอกโชว์กล้าม ถ้าจะขับกระบะแม้แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็สามารถขับพวกมันได้อย่างมั่นใจในเมือง
ใต้เรือนร่างใหญ่ยักษ์ ทางค่ายวงรีสีน้ำเงินแนะนำเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกใหม่ปรับลดขนาดจาก 3.2 ลิตรเหลือเพียง 2.0 ลิตร ติดตั้งเทอร์โบชาร์จคู่จากโรงงานผลิตฝูงม้า 213 ตัว ที่ 3,750 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ความแรงเร้าใจพกคู่หูตัวแสบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มากที่สุดในตลาดกระบะเวลานี้
หลายคนอาจตั้งคำถามเหมือนผมในช่วงแรกว่า ทำไมจะต้องให้เกียร์เยอะขนาดรถสิบล้อยังมีอาย ประเด็นดังกล่าวต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากเครื่องยนต์มีขนาดเล็กลง พวกเขาต้องการอัตราทดเกียร์ช่วยให้มันเหมาะขับทางยาวเดินทางไกล นอกจากนี้เกียร์ที่มีอัตราทดเยอะยังช่วยให้คุณสามารถเลือกเกียร์ที่เหมาะสมเวลาลุยได้ด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ผมเคยประสบมา ตอนเอา Ford Ranger 2.0 Limited มาลอง แล้วพบว่า เกียร์ช่วยให้มันไปง่ายกว่าคู่แข่งเพื่อนอเมริกันร่วมชาติของพวกเขา
กวาดพวงมาลัยออกจากฟอร์ด การขับยักษ์ใหญ่ในเมืองแสนง่ายดาย พวงมาลัยของมันเบาหวิว ผิดกับรูปลักษณ์ของมันดูขับยากไม่น่าวางใจ เป็นความรู้สึกแรกอขงผมกับรถคันนี้
ตัวรถสูงใหญ่ให้ข้อดีสำคัญทางด้านทัศนวิสัย คุณมองไกล ไปข้างหน้า เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับนั่งบนหอยคอยงาช้าง ส่วนเจ้ายางสายลุยขอบสูงมีดีเรื่องการเก็บรอบต่อถนน หรือ พื้นปะ ทำรถไฟฟ้าได้เนียนกริบ เมื่อรวมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ มันนั่งสบายพอๆ กับซีดานกลางหลายรุ่นในอดีต จนคุณไม่เคยคิดว่าจะหาความรู้สึกนี้ได้ในกระบะ
ในเมืองทุกวันนี้รถติดมหาศาล เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไม่ได้ออกฤทธิ์ 213 แรงม้า เลยสัก คัน ผมขับย่องตามการจราจรไปเรื่อย เท่าที่สังเกตเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ฉลาดเป็นกรด มันไม่ได้ไล่เกียร์ไปเรื่อย กว่าจะถึงเกียร์ 10 พอดีหงำเหงือก ชุดเกียร์จะสั่งการข้ามอัตราทดเช่นจาก 1 ไป 3 ไป 5 ไป 7 มันพยายามพาคุณไปยังอัตราทดต่ำอย่างรวดเร็ว
พูดถึงข้อดีก็มาก มาฟังข้อเสียบ้างความใหญ่ของ Ford Ranger Raptor เวลาขับในเมืองนั่น คุณจะเป็นที่ขยาดของมอเตอร์ไซค์มากๆ ไม่น่าแปลกใจนัก ถ้าคุณจะรู้สึกว่า พวกเขามมาออกท้ายหรือข้างรถ ลำตัวที่กว้างเป็นพิเศษของเรา ทำให้พวกเขามุดผ่านคุณไปได้ยาก
แถมหลายครั้งในระหว่างขับแทรกรถไปมาท่ามกลางจราจรติดขัด พบมุมบอดหลายคราว เนื่องจากเรามีความสูงกว่าชาวบ้านสักหน่อย แถมเวลากลับรถการใช้ยางใหญ่เป็นปัญหาอยู่เล็กน้อย เจ้านี่มาพร้อมวงเลี้ยว 6.4 เมตร คุณอาจจะต้องกลับรถ 3 เลนใช้ให้สุดจะได้ไม่ต้องมานั่งเดินหน้าถอยหลังทำการจราจรติดขัดวุ่นวาย
ส่วนถ้าใครเป็นสาวกสายช๊อป ชิม ชิล เน้นเดินห้าง ขอให้มั่นใจว่าที่จอดรถในห้างที่คุณไปสูงอย่างน้อย 1.9 เมตร จะได้ไม่เสยเบียดหลังคา ยังดีช่องจอดห้างสมัยใหม่หลายที่ตีขนาดช่องใหญ่ 2.2 เมตร การจอดเจ้ายักษ์สายลุยเลทำได้ง่ายขึ้น ผมอยากแนะว่า เวลาเปิดประตู ต้องระวังรถคันข้างๆ สักหน่อย เราอาจจะกระแทกเขาได้ แถมคุณอาจจะต้องฝึกวิชาโยคะ เวลาขึ้นลงรถจะได้หาท่าม้วนขึ้นลงได้ง่ายยิ่งขึ้น เอาตามจริงถ้าเป็นไปได้ หาที่จอดช่องริมเสา-ทางเดิน จะช่วยลดปัญหาเรื่องนี้
เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร ขับในเมืองท่ามกลางรถติดดูน่าจะประหยัดได้ใจเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ประหยัดมากมายนัก ผมขับกลับบ้านด้วยระยะทางก่อนถึงบ้าน 112 ก.ม. เติมนำมันไป 10.754 ลิตร ดีดอัตราประหยัดได้ 10.41 ก.ม./ลิตร
และหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ผมยังขับใช้งานในเมือง ผมเดินทางรวมๆไป 179 ก.ม. เติมน้ำมันไป 17.382 ลิตร สรุปประหยัดอีกครั้งได้ 10.29 ก.ม./ลิตร ดังนั้นสรุปขับในเมืองคุณจะได้อัตราประหยัดราวๆ 10 กิโลเมตร/ลิตร เศษๆ เท่านั้น
///
หลายครั้งหลายหนที่มีโอกาสขับ Ford Ranger Raptor ตั้งแต่ครั้งแรกมาจนถึงครั้งนี้ ค่อนข้างเชื่อว่าหลายคนอาจที่คิดซื้อรถคันนี้หวังว่าจะเอามันไปลุยบุกป่าฝ่าดงในวันว่าง
การปรับปรุงโครงสร้างหลักแชสซี รวมถึงติดตั้งระบบกันสะเทือน 4 ล้อ พร้อมโช๊คอัพ Fox Racing Shock ทั้งหมด เพื่อพร้อมสำหรับการลุย แต่กว่าจะเดินทางไปถึงที่คุณจะได้ลุยโหดดังใจก็ต้องใช้เวลาเดินทางสักหน่อย
เสน้ทางขับขี่วันนี้อีกครั้งที่ผมเลือก อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี เนื่องจากเป็นถิ่นสายออฟโรดรู้จักกันดี ก่อนจะมาเป็นย่านเที่ยวชิค ดูทะเลหมอกแดนตะวันตกสุดคูล
การติดตั้งช่วงล่างหมาป่าขั้นเทพ มีข้อดีที่ตัวโช๊คสามารถปรับระดับการทำงานได้เองมากถึง 9 ระดับ คุณอาจไม่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงตลอด 9 ระดับหรอก เพราะบางช่วงเซทไว้รองรับทางออฟโรด แต่ที่แน่เวลาขับเดินทางจะรู้สึกว่าความเร็วต่ำรถดูนิ่มนวลชวนง่วงไม่น้อยเมื่อขับความเร็วไม่เกิน 90 ก.ม./ช.ม. เมื่อเกินกว่านั้น จะเริ่มรู้สึกความตึงโช๊คขับมั่นใจมากขึ้นตามลำดับ จนคุณไม่คิดว่ารถกระบะขนาดยักษ์ใส่ยางพร้อมลุยจะขับมั่นใจขนาดนี้
ข้อควรระวังในการขับ “แรพเตอร์” บนถนนทั่วไป คือ คุณควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าสักหน่อย การให้ยาง AT (All Terrain) มีดีเรื่องลุยก็จริง แต่เมื่อขับด้วยความเร็วเวลาเบรกแรงๆ จะมีอาการเหมือนลื่นไถลนิดหน่อย จากลักษณะการออกแบบหน้ายาง
นี่เองเป็นสาเหตุให้ทีมงาน Ford Performance ติดตั้งเบรกหน้า 2 พอท และเปลี่ยนชุดเบรกหน้าดิสก์หลังดรัม เป็นดิสก์ 4 ล้อ เพิ่มอำนาจสั่งหยุดดีขึ้นในทุกสถานการณ์
เครื่องยนต์ 213 แรงม้า หลายคนเห็นตัวเลข เฮ้ย!! นี่มันน้องๆ รถสปอร์ต ขับจริงหลายครั้ง ผมอยากจะทำท่าปางห้ามญาติ แล้วบอกกับทุกคนว่า มันไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิด
เครื่องบล็อกนี้ฟังดูแรงจริง 213 แรงม้า มากที่สุดในเครื่องยนต์ดีเซลที่ขายในตลาดบ้านเรา (ถ้าไม่นับพวกรถยุโรปบ้าพลัง) กำลังม้าน้องๆ รถสปอร์ต มาเจอโจทย์หินกับน้ำหนักตัวเปล่า 2.3 ตัน วันนี้เราเดินทาง 3 คน รวมๆ และว มี 2.6 ตันได้
ถ้าคุณเอาน้ำหนักเปล่า “แรพเตอร์” หาอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้า 2,332 กก. หารด้วย 213 แรงม้า จะพบว่า ม้า 1 ตัว ต้องแบกน้ำหนัก 10.94 กิโลกรัมเลยทีเดียว และนั่นหมายถึงช่วงที่คุณเรียกม้าทั้งฝูงที่ 3,750 รอบต่อนาที ออกประจำการ ในยามปกติ แรงม้าไม่ได้มากเท่านั้น หมายถึงมันแบกน้ำหนักมากกว่านี้
ยังดีแรงบิด 500 นิวตันเมตร ช่วยให้แรพเตอร์ พกวิชาตัวเบา เร่งแซงง่ายดาย มุดได้ตามกระแสการจราจรอยู่บ้าง เรียกว่ารถใหญ่ มหึมา พอจะขับแบบรถสปอร์ตได้อยู่บ้าง
ถ้าต้องการขับเร็วผมแนะนำว่าให้เลือก โหมด Sport ขึ้นมาใช้ ,โหมดนี้ชุดเกียร์จะปรับอัตราทดว่องไว มีค้างเกียร์ให้เราเหยียบต่อ หรือช่วยเวลาต้องการลดความเร็วด้วย Engine Brake คันเร่งตอบสนองว่องไวเป็นไปตามบาทา แล้วจะรู้ว่าเจ้ายักษ์นี้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ขับเดินทางปกติ ที่เกียร์10 รอบเครื่องจะอยู่ที่ราวๆ 1,500 รอบต่อนาที ต่ำเตี้ยมากจนฟังดูน่าประหยัด การขับไปสวนผึ้งมีข้อดีประการสำคัญ เราขับบนถนนทุกรูปแบบทั้ง 4 เลน เดินทางไกลสมัยใหม่นิยม และ 2 เลนสวน การเดินทางที่ต้องพบเจอเวลาไปทางไกล
ผลจากการขับมานานร่วม 2 ชั่วโมงเศษๆ ใช้ความเร็ว 100-120 ก.ม./ช.ม. เร่งแซงที่ 130 ก.ม./ช.ม. ในบางจังหวะ ผมจับอัตราประหยัดจากวิธีทดสอบของ Ridebuster ได้ 10.6 ก.ม./ลิตร
ทางฝุ่นของจริง หนึ่งเดียว Hi Speed Off-roader
หลายครั้งหลายคราวที่ทางฟอร์ด อิญเชิญผมไปขับแรพเตอร์ ทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่ารถคันนี้มีดีในด้านทางลุยถึงที่สุดและวันนี้ยังไม่มีใครทัดเทียมได้
เส้นทางออฟโรดวันนี้ผมเลือกเขากระโจมปลายทางสายลุย อุดมด้วยอุปสรรคต่างๆ มากมาย พร้อมรอต้อนรับ สาวกชอบความโหด ไม่ว่าจะหิน ,การลุยน้ำ เนินชัน และบางครั้งทางโคลน ทั้งหมด รวมในหนึ่งเดียว
อันที่จริงผมขับ Ford Ranger Raptor ลุยไปมาหลายที่ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะทางหินกรวดหินลอย , ทางทราย รวมถึง การปิดพื้นที่ให้เราลองสัมผัสความสนุกของโหมด Baha มันเหมือนไม่มีใครหยุดคุณให้ไม่ซิ่งในทางฝุ่นได้
สาเหตุที่ Raptor ลุยดีกว่ารถรุ่นอื่นนอกจาฮาร์ดแวร์ระดับเทพ ทั้งโช๊ค , ยาง และ การเซทอัพทางวิศวกรรมต่างมากมายแล้ว มันยังกพกซอฟท์แวร์โหมดการขับขี่สุดล้ำมาครบเครื่อง มีทุกสภาพพื้นที่ที่เรารู้จัก ไม่ว่าจะ หินกรวด-หญ้า-หิมะ ,โคลน-ทราย ,หิน และ บาฮา
แต่ละโหมดเซทการตอบสนองของพวงมาลัย , คันเร่ง การทำงานของชุดเกียร์ต่างกัน เพื่อให้การฝ่าอุปสรรคง่ายดายมากขึ้น โดยที่คุณแทบจะไม่ต้องใช้ทักษะออฟโรดมากมายให้วุ่นวายเพียงกดโหมดก็พร้อมลุย เสียดายที่คุณยังต้องบิดเลือกตำแหน่งเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยตัวเอง จะใช้ 4 H / 4L ดูตามสถานการณ์ ซึ่งบางโหมด ยางโหมด Rock จะใช้งานได้เมื่อเข้า 4L เท่านั้น
ผมขับแรพเตอร์ขึ้น “เขากระโจม” มันง่ายไป งานนี้ให้ เดือนขับดูน่าสนุกกว่า เดือนอาจจะลุยกับผมที่นี่มาบ่อยมาก แต่ไม่เคยขับขึ้นเองสักครั้ง ผมให้เจ้าตัวเข้าโหมด Rock เพื่อจะได้ไต่ง่ายๆ โดยเฉพาะช่วงแรก นอกจากหินยังแถมทราบผสม ข้อดีของยางลุย บวกแรงบิดมหาศาล คุรตะกุยผ่านไปได้ง่ายมาก
ไม่นาน เรามาถึงบ่อน้ำ เราปลดลงมา 4H แล้วให้เดือนขับผ่านน้ำไปคนเดียว ความสูงของมัน ทำให้ระดับน้ำในบึงวันนี้อยู่เพียงครึ่งล้อเท่านั้น อันที่จริงรถคันนี้สามารถลุยน้ำได้ถึง 850 มม. ตามรายละเอียดที่ทางฟอร์ดเคยเปิดเผยออกมา
ทำไมมันง่านเช่นนี้ ผมให้เดือนขับต่อไป เรื่อย จนมาถึง เนินพัน อดีต ตรงนี้ถือว่าโหดสุด เนื่องจากเป็นเขาชันระยะทาง 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร ช่วงหน้าฝนจะยิ่งลำบาก เนื่องจากสภาพถนนจะเป็นโคลน มีโอกาสลื่นมาก เวลานี้มันอาจแห้งก็จริงแต่ห้ามประมาท เพราะมีร่องน้ำลึกรออยู่ต้องระวัง
เดือน..ผู้หญิงที่ไม่เคยขับออฟโรด ได้แต่นั่งลุ้นผมไปเรื่อยทุกครั้งวันนี้ได้ลองเอง หันมาบอก “ง่ายอ่ะ” แหม!! ก็แหงสิ แรพเตอร์นี่หล่อน!! …
สรุป Ford Ranger Raptor โคตรกระบะพร้อมลุยในราคาจับต้องได้
ไม่นานเรามาถึง ปลายทางเขากระโจม การให้เดือนขับมันพิสูจน์ข้อหนึ่งว่า คนที่ไม่ทักษะออฟโรดเลยได้ขับแรพเตอร์ ก็สามารถลุยได้ง่ายไปได้ทุกที่ รถคันนี้ให้ความอีซี่กับเรื่องขับลุยมากขึ้น
ตั้งแต่ผมมีโอกาสลองขับ Ford Ranger Raptor ยอมรับว่ามันเป็นรถที่ไม่เหมือนใคร มันคือหนึ่งเดียวในรุ่นเป็นเอกทางด้านการลุย วันนี้ยังไม่มีใครเทียบเคียงได้ แถมราคาขายก็ไม่ได้แพงจนขนาดเอื้อไม่ถึง เศรษฐีภูธรหลายคน ต่างเริ่มหาซื้อมาประดับบารมี กันถ้วนหน้า
แรพเตอร์ไม่เหมาะเป็นรถคันเดียวในบ้าน มันเหมาะเป็นรถที่คุณเอาไว้ใช้เดินทางไกล ร่างใหญ่ทรงกระบะของมันเปี่ยมด้วยสมรรถนะการขับขี่ โดยเฉพาะที่ผมว่าเด่นที่สุดเป็นระบบกันสะเทือนมูลค่าเคยแอบถ้าต้องมี 2-3 แสนบาท ถ้าจะซื้อมาแต่งเอง แล้วคุณจะทำแบบนั้นทำไม ในเมื่อสามารถซื้อหาได้จากรถใหม่พร้อมลุยจากโรงงาน
สิ่งเดียวที่ผมตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับแรพเตอร์ คือเครื่องยนต์ 213 แรงม้า ของมัน รู้สึกว่าขับไม่พอเท้า ยิ่งถ้ามาลองจับอัตราเร่ง0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ยได้เพียง 11.01 วินาที 80-120 ก.ม./ช.ม. ได้เพียง 8.99 วินาที เทียบกับ Ford Ranger 2.0 Limited 4×4 เจ้าตัวลุย 0-100 ก.ม./ช.ม. ช้ากว่า 1 วินาที 80-120 ก.ม./ช.ม. ช้ากว่า 0.3 วินาที
และจากตัวเลข คงสังเกตว่า มันไม่ได้ออกมาแบบรถสปอร์ต มันคือรถบ้านธรรมดาทั่วไปดีๆนี่แหละ เพียงแต่พร้อมลุย นั่นอาจทำให้หลายคนที่วาดฝันแรพเตอร์เป็นรถสปอร์ตไว้ไม่ถูกใจสิ่งนี้ 213 แรงม้า มันควรจะแรงเร้าใจ เร่งเร็วเป็นม้าดีด ไม่ใช่ราวกับรถบ้าน จนจำได้มีลูกค้าอยู่ไลน์บอกว่รถอืด ขับได้ไม่เร็ว คิดว่ารถมีปัญหา จนเรียกยานแม่พาไปเข้าศูนย์บริการ เพราะกังวล
จามาล เฮมมิดี หัวหน้าวิศวกร Ford Performance เคยให้สัมภาษณ์ ต่อข้อคำถามเรื่องมันไม่แรงว่า รหัส “Raptor” ไม่ได้เกิดมาเพื่อแรง มันเกิดมาเพื่อลุย เราทุ่มเงินกับการพัฒนาแชสซีโครงสร้าง ใส่ช่วงล่างเทพที่มีราคาพอๆกับเครื่องยนต์ 1 ตัว ไม่มีตรงไหนที่บอว่าเราต้องการทำกระบะแรง
เขาพูดถูกในมุมของเขา แต่ลูกค้าอาจไม่ได้คิดแบบนั้น Ford F-150 SVT Raptor มันมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 5.4 ลิตร 310 แรงม้า และ V8 6.2 ลิตร 410 แรงม้า ลูกค้าอาจพอใจกับความแรงที่ได้จากมัน
กลับมาดูทางแรพเตอร์น้อย เครื่องยนต์ 213 แรงม้า มันก็เจ๋งดี แต่น้ำหนักตัวขนาดนี้ อยากให้ฟอร์ดทำการบ้านเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์สักหน่อย อาจจำเป็นต้องมีกำลังเครื่องมากกว่านี้ เพื่อให้อัตราเร่งดีขึ้น สมความเป็นวายร้ายประจำถนน
ก่อนหน้านี้เคยมีกระแสว่า Ford อาจจะทำ Ford Ranger Raptor เครื่องเบนซินเทอร์โบ 2.3 ลิตร จาก ford Mustang ให้กำลัง 310 แรงม้า ทำแรงบิด 430 นิวตันเมตร แต่ก็หายเข้ากลีบเมฆไป เนื่องจากฟอร์ดมองว่าไม่จำเป็น และเครื่องดีเซลใหม่ นี่เหมาะสำหรับประเทศที่ขายอยู่แล้ว
ในมุมมองผมคิดต่าง ผมคิดว่า ค่ายนี้ควรทำมันออกมาขาย เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อแรพเตอร์ อาจมองเรื่องความแรงในระดับหนึ่งด้วย ถ้าเจ้ายักษ์คันนี้มี 310 แรงม้า ราคาอาจจะทะลุไป 2 ล้านเศษๆ กระบะ 310 แรงม้า กับที่สุดสมรรถนะลุยดุ ผมว่าคนก็ยังสนใจ และมันน่าจะขับสนุกกว่านี้ด้วยอีกพอสมควร
ผมมีข่าวร้ายเรื่องหนึ่งจะบอกทุกคนว่า พ่อของเจ้า Ford Ranger Raptor นาย จามาล ได้โบกมืออำลาฟอร์ดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นเราอาจจะเห็นว่า เจ้ากระบะแกร่งคันนี้คือ ผลงานชิ้นสุดท้ายทิ้งทวนกับฟอร์ด และมันอาจหมายความถึง ความมีค่ามีราคาที่คุณจะหาซื้อไม่ได้จากที่ไหนอีก ถ้าค่ายวงรีสีน้ำเงินไม่ขายมันในอนาคต
Ford Ranger Raptor เป็นรถที่ครบเครื่องเรื่องลุย ถ้าคุณออฟโรดบ่อยครั้ง ไปมันแทบทุกเดือน ผมการันตีว่าซื้อมันไว้ไม่ผิดหวัง จะมีสักกี่ครั้งที่บริษัทรถยนต์ชั้นนำใจปล้ำยัดของแต่งมาให้คุณซื้อในราคาโคตรคุ้มที่สุด เท่าที่จะหาได้ แถมบางอย่างไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปด้วย
ไม่ว่ากี่ครั้งที่มองเจ้ายักษ์นี้ผมชอบในความกำยำโดปเวย์ พร้อมสมรรถนะลุยของมันนะ แต่ด้วยชีวิตผมเน้นขับรถในเมืองไม่มีโอกาสบ่อยหรอกจะเข้ารกเข้าพง แต่ถ้าคุณต่างจากผมใช้ชีวิตอยุ่ต่างจังหวัดเป็นเจ้าของไร่ สวนฟาร์มต้องลุยเข้าป่าบ้าง มันเหมาะที่สุดสมฐานะเท่าที่รถกระบะคันหนึ่งจะเป็นให้คุณ …