กระแสความนิยมรถยนต์อเนกประสงค์ในระดับโลกทำให้บริษัทหลายราย ต้องปรับตัวไปตามๆกัน ความต้องการรถประเภทนี้ปัจจุบันต้องหาจุดขายใหม่ๆ มาให้ลูกค้าจับจองเป็นเจ้าของ ที่ผ่านมาซูบารุ ในฐานะแบรนด์สมรรถนะ ไม่เคยทำรถไฮบริดมาก่อน และวันนี้พวกเขาพลิกความเชื่อของเราโดยสิ้นเชิง
รถยนต์อเนกประสงค์ Subaru Forester เพิ่งเปิดขายในไทยได้ไม่นานนัก ทว่ากระแสตอบรับจากยอดจองงาน Motor Expo ทีผ่านมา ชี้ชัดว่าคนไทยเริ่มสนใจแบรนด์ดาวลูกไก่มากขึ้น โดยเฉพาะการตั้งราคาขายชนิดที่คุณไม่มีโอกาสไหนจะเหมาะไปกว่านี้ถ้าจะมองหารถซูบารุสักคันมาครอบครอง แล้วถ้าในอนาคตมันมีรุ่นไฮบริดเข้ามาเพิ่มทางเลือก คิดว่าน่าสนใจไหม
ที่ผมปิดปลายประโยคด้วยคำถาม นั่นเพราะเป็นสิ่งที่ทาง บริษัท ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุในประเทศแถบเอเซียและอาเซียนคิดว่า ต้องมีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ มาให้ลูกค้า การขายรถอเนกประสงค์เครื่อง 2.0 ลิตรนั้นไม่ยากนัก หากลูกค้าก็มองอะไรใหม่ๆ ที่น่าจะตอบโจทย์พวกเขามากขึ้น
ช่วงปีทีผ่านมา ทาง Subaru Cooperation ประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจครั้งสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฮบริดเริ่มออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น รถที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดของแบรนด์ 6 ดาวนี้ จะเรียกระบบขับเคลื่อนว่า ระบบ e-Boxer
ปัจจุบัน รถยนต์ที่ออกมาพร้อมระบบ e-Boxer มี 2 รุ่น ได้แก่ Subaru Forester e-boxer พระเอกของเราในวันนนี้ อีกรุ่น คือ Subaru XV e-boxer ที่นำเอาระบบของโตโยต้า หัวหน้าแก๊งมาใช้ มันพิเศษกว่าสักหน่อยที่เป็นระบบเสียบปลั้กชาร์จไฟได้ หรือ เป็น Plug-in Hybrid
ข้ามน้ำข้ามทะเล 2 ชั่วโมงบนเครื่องบิน Airbus A350-900 จากท่าอากาศสุวรรณภูมิ ไปยังสนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร ไม่ได้ใช้เวลานานนัก การเดินทางในชั้นประหยัดระยะใกล้สบายขึ้นด้วยการเลือกที่นั่งแบบ Long leg ทำให้ได้ที่นั่งดีที่สุดบนเครื่อง คือ แถวที่ 49 ถ้าคุณได้นั่งติดริมหน้าต่างแทบเรียกว่าสวรรค์คนยากชอบบิน เนื่องจากจะมีทางเข้าออกส่วนตัว อยุ่ใกล้ห้องน้ำ วิวดี เหยียดขาสบาย นั่งราวกับคุณซื้อชั้นธุรกิจมาเลยทีเดียว
สิงคโปรในเดือนมกราคมเ แดดมาเต็มกราฟ สภาพอากาศเมฆน้อยสลับแดดจ้า ต้อนรับคณะสื่อมวลชนไทย ที่ถูกเชิญมาทดสอบรถยนต์ Subaru Forester e-Boxer ใหม่ ถามทีมงานก็ปิดปากเงียบสนิทว่าจะมาไทย หรือไม่กันแน่
เดินจากส่วนโกดังที่เอานักข่าวมาพักทานข้าวทานน้ำให้หายเหนื่อยจากเดินทาง 2 ชั่วโมง ราวกับนั่งรถมาหัวหิน Subaru Forester e-boxer ใหม่ จอดรอพวกเราอยุ่ในลานทดสอบแล้ว
เห็นรถครั้งแรกนึกใจ มันไม่ต่างจาก Subaru Forester ตัวปกติเลยใช่ไหม ภายนอกไม่ว่าคุณจะมองมุมไหนก็คือเหมือนรุ่นปกติ ไม่ว่าจะกระจังหน้า ล้ออัลลอยขอบ18 นิ้ว อันคุ้นตามาพร้อมยาง 225/55/R18 เหมือนเคย รวมถึงประตูท้ายไฟฟ้า
อย่างเดียวที่ต่างดูเหมือนจะเป็นตรา e Boxer มีมาให้ 3 จุด คือที่แก้มข้าง 2 ด้าน และฝาท้าย นอกนั้นดูเหมือนปกติไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไร
เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารยังครบเครื่องด้วยการออกแบบเน้นความสบายสูงสุด ประตูบานใหญ่ ห้องโดยสารที่ออกแบบมาลักษณะหลังคาสูงคล้ายรถทรงกล่อง ทำให้ซูบารุ ฟอร์เรสเตอร์โดดเด่นเรื่องการโดยสารอยู่แล้ว รุ่นนี้สามารถนั่งได้อย่างสบายขึ้น ตั้งแต่ที่ไปสัมผัสยังไต้หวัน รวมถึงกลับมานั่งตัวเวอร์ชั่นขายในบ้านเราก่อนหน้านี้
ผมกวาดสายตาผ่านชุดอุปกรณ์ต่างที่คุ้นเคย ทั้งระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight พวงมาลัย,คอนโซลหน้า และเบาะนั่งทั้งตอนหน้าและหลัง สิ่งเดียวที่ต่างในรถคันนี้เห็นทีจะเป็นที่เขียนว่า Eco-C บนพวงมาลัยวางไว้ใกล้กับปุ่มโหมดการขับขี่ยังมีให้เลือกทั้ง S และ I เหมือนเดิม
ระบบ e-Boxer เป็นการจับเอาระบบไฮบริดขนาดเล็กหรือ Mild Hybrid (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่) มาใช้ช่วยในการขับขี่ โดย Subaru Forster e Boxer ยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน Boxer 4 สูบขนาด 2.0 ลิตรมาพร้อมระบบ Direct injection เหมือนเดิม เพียงแต่ปรับลดความห้าวของเครื่องยนต์ลงเหลือเพียง 145 PS สูงสุดที่ 6,000 รอบต่อนาที และทำแรงบิดสูงสุดเพียง 188 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาทีเท่านั้น
กำลังของเครื่องยนต์ลดลงถูกทดแทนด้วยการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่า 13.6 PS ให้แรงบิด 65 นิวตันเมตร
สงสัยไหมครับว่า Subaru ทำอย่างไรให้เอกลักษณ์ขับเคลื่อนสี่ล้อยังอยู่ ทั้งที่มีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าช่วย พวกเขาไม่ได้ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไปที่ล้อหรือเพลาขับอย่างที่เราอาจคาดเดากันไป ทีมงานวิศวกรซูบารุฉลาดกว่านั้นมาก พวกเขาติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าตัวนี้ไว้ในชุดเกียร์ ส่วนแบตเตอร์รี่ลิเธียมไออนใช้ให้พลังงานระบบไปวางไว้ข้างหลัง ใต้พื้นที่สัมภาระ ทำให้รถมีสมดุลมากและไม่เสียบุคลิกความเป็นที่มีสมดุลดีในการขับขี่
ได้เวลาลองแล้ว ผมขึ้นรถด้วยความกระหืดกระหอบ จากรถที่ทางซูบารุนำมาเปรียบเทียบ ทั้ง 2 คันเทียบกับ Subaru Forester e Boxer ถือเป็นรถคนละคลาสมีขนาดเล็กกว่า คันหนึ่งมีขายในไทย เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีกลาย อีกคันมายในไทยเช่นกัน แต่ในบ้านเราไม่มีรุ่นไฮบริดเท่านั้นเอง
อันที่จริงผมแปลกใจที่ซูบารุเอารถทั้ง 2 รุ่นมาเปรียบเทียบ เนื่องจากเป็นรถคนละกลุ่มและด้วยขนาดบวกกับน้ำหนักไม่ต้องสิบเลยว่า ฟอร์เรสเตอร์จะต้องเสียเปรียบกว่า
มิหนำซ้ำในการลองระบบไฮบริด e Boxer ก่อนหน้าสื่อ่ไทยจะได้ขับรถก็ถูกหวดยับมาก่อนหน้านี้ แบตเตอร์รี่ไฮบริดเรียกว่าเหลือกำลังไฟน้อยเต็มทน ดังนั้นจึงอาจจะไม่เห็นการช่วยจากมอเตอร์ไฟฟ้ามากมายนัก
ตามรายงานของ Subaru ย้อนไปครั้นเปิดระบบ Subaru e-Boxer ออกสู่ตลาดญี่ปุ่น ทางซูบารุเผยว่าต้องการให้ระบบไฮบริดช่วยในการขับขี่บางส่วนเพื่อรักษาความเป็นรถซูบารุไว้มากที่สุด โดยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะทำงาน 3 ส่วนสำคัญ อันได้แก่
1.ช่วยในการออกตัว เมื่อรถจอดอยู่กับที่แล้วออกตัว เครื่องยนต์ปกติจะต้องกินกำลังมาก ระบบ e boxer จึงจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการออกตัวก่อนในเบื้องต้น แล้วจึงสลับให้เครื่องยนต์มารับหน้าที่ต่อเนื่องไป
2.ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยในการทำงานคู่ขนานกับเครื่องยนต์ในบางจังหวะ อาทิ จังหวะเร่งแซง เป็นต้น
3.ใช้ในการชาร์จไฟฟ้ากลับไปสู่แบตเตอร์รี่ลิเธียมไออนทางด้านหลัง เมื่อลด ชะลอความเร็ว หรือเบรก ระบบจะเก็บพลังหมุนเชิงกลในเกียร์ไปชาร์จไฟฟ้า เพื่อเตรียมไว้ใช้สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าต่อไปในอนาคต
จาก 3 หน้าที่หลักจะเห็นได้ว่า ระบบ e Boxer ไม่ได้เน้นช่วยเหลือการใช้งานเวลาเดินทางนัก นั่นเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ 100% เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า หาเน้นการใช้งานในภาวะการจราจรในเมือง พบได้มากมายในประเทศญี่ปุ่น
ผมทำการบ้านสักหน่อยก่อนมาขับรถคันนี้โดยรู้ว่าระบบของซูบารุเหมือนกับที่หลายคนคาดหวังไว้ ว่าจะเห็นระบบไฮบริดที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างลงตัว
ออกตัวช่วงแรกทีมงานให้เราหวด Subaru Forester เต็มๆ กดคันเร่งให้มิดลองดูว่าจะเร่งดีแค่ไหน ในรถตอนนี้นั่งกันอยู่ 4 คน ความรู้สึกยอมรับว่ารู้สึกเร่งในช่วงแรกแข็งขันกว่ารุ่นธรรมดาที่ไปลองในสนามที่ไต้หวันสักหน่อย ไม่มากอย่างที่คาดหวังไว้
ถึงทางโค้ง ต่อด้วยสถานีสลาลอม Subaru ตอบสนองการเลี้ยวและการโยนตัวได้ดี ผมรู้สึกว่ารถค่อนข้างคุมง่ายขึ้นกว่าเดิม จากน้ำหนักแบตเตอร์รี่ทางด้านหลังช่วยสร้างสมดุลในการเข้าโค้ง พวกมาลัยรุ่นปกติกับรุ่นไฮบริดดูจังหวะและการตอบสนองไม่แตกต่างกัน มันเป็นพวงมาลัยกระชับตึงมือกำลังดีน้ำหนักเบาในความเร็วต่ำ และตอบสนองดีเมื่อใช้ความเร็วมากขึ้น
ออกจากสลาลอม เราเข้าโค้งต่อเนื่อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และเครื่องบ๊อกเซอร์ช่วยให้การเข้าโค้งสบายโคลงตัวน้อยกว่าอเนกประสงค์ทั่วไป ยิ่งเจอแผ่นลื่น การสะบัดตัวของ Subaru Forester e-Boxer ไม่ได้เป็นอาการน่ากลัว เช่นอาการ understeer หน้าดื้อ แบบรถขับหน้า มันจะโยนไปทั้งคัน และคุณยังสามารถควบคุมได้เพียงถอนคันเร่ง
ปิดท้ายด้วยด่านตรวจสอบอาการสะเทือนของระบบช่วงล่างก่อนเข้าพิทจอด ผมรู้สึกถึงความหนักแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย อาจจะด้วยน้ำหนักรถจากระบบที่ติดตั้งเข้ามามากขึ้นก็เป็นไปได้
สรุป Subaru Forester e-Boxer ไม่ฟันธงว่ามาไทย แต่สมควรมาขาย..นะ
หลายคนอ่านถึงตรงนี้คงสงสัยว่า อ่าว พี่บอลไม่เห็นพูดการทำงานของระบบไฮบริดสักเท่าไรเลย
ใช่ครับ!! ที่ไม่พูดถึงเยอะ นั่นเพราระบบไฮบริด e Boxer ของ Subaru Forester e Boxer นั้น เป็นระบบออกแบบมาสำหรับการจราจร Stop and Go การจราจรแบบนี้เป็นลักษณะการจราจรในเมืองส่วนใหญ่ ซึ่งคุณจะออกตัวและเบรกหยุดตามแยกบ่อยครั้ง แต่ในสนามทดสอบเรากลับเป็นการอวดสมรรถนะรถมากกว่า การอวดระบบไฮบริดเสียอย่างนั้น
จากที่ขับผมบอกได้เลยว่า ไม่ควรคาดหวังกับระบบ e-boxer มาก ระบบนี้ดีตอนช่วยออกตัว และตอนที่คุณกำลังขับเพลินแล้วสวนคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยได้สักระยะหนึ่งสั้นๆ
ในส่วนที่ผมไม่ได้ลองเกี่ยวกับ e Boxer มี 2 ส่วน คือ การตอบสนองของระบบเมื่อขับในโหมด S ซึ่งทางซูบารุ คอร์เปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ได้ปรับให้การตอบสนองของระบบรวดเร็วขึ้นตามโหมดขับขี่ S และ I ผมอนุมาณว่า มอเตอ์จะมาเร้าใจมากขึ้นกว่าที่ขับในโหมด I ในสนามวันนี้
ส่วนอีกอันหนึ่งคือ การใช้งานระบบ e-boxer ร่วมกับ Subaru eyesight โดยปุ่ม Eco C.บนพวงวมาลัยสามารถใช้ร่วมกับระบบ Adaptive Cruise Control ได้ เพื่อสร้างความประหยัดสูงสุด โดยการปรับการทำงานระบบไฮบริดในแจ่ละจังหวะให้เหมาะสมกับความเร็วที่เราใช้
และท้ายสุดด้วยความสามารถทางด้านแรงบิดสูงในรอบต่ำ ระบบ e-boxer ยังมีประโยชนืในเรื่องการใช้เพื่อการออฟโรด แรงขับจากมอเตอร์ไฟฟ้าดีพอทำให้คุณไม่ต้องเดินคันเร่งมากมาย เวลาต้องผ่านอุปสรรค จนในระหว่างการสาธิตโดยทีมงานสิงคโปร โดยใช้ Roller จำลองรถคันนี้ราวกับแทบจะเคี้ยวขนมเลยทีเดียว
ส่วนอัตราประหยัด ถ้าอ้างอิงตามข้อมูล จาก Subaru Cooperation ในประเทศญี่ปุ่น จากการทดสอบในโหมด JC08 ได้สูงถึง 18.6 ก.ม./ลิต รแต่ในโหมด WTLC เฉลี่ยรวมได้ 14.0 ก.ม./ลิตร ในโหมดนี้ถ้าแยกตามสภาพการขับขี่ ได้แก่ ในเมืองได้ 11.2 ก.ม./ลิตร ชานเมือง ได้ 14.2 ก.ม./ลิตร และ ขับทางไกลนอกเมืองได้ 16.0 ก.ม./ลิตร
มาถึงตรงนี้เชื่อว่า คุณคงอยากจะถามผมว่า แล้วจะชายในไทยไหม
เรื่องนี้ผมถามกับ คุณ เกลน ตัน รองประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัทตัน จง อินเตอร์เนชันแนล จำกัด เขาตอบว่า ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจ อยากรอดูกระแสตอบรับ Subaru Forester ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวก่อน
ดังนั้นถ้าเอาตามสิ่งที่เกลน ตันพูด มาวิเคราะห์ ก็เรียกว่าโอกาสมามากถึงร้อยละ 80-90 เลย ทีเดียว เพราะระบบ mild Hybrid ติดตั้งไม่ยาก ข้าวของ Subaru Forester ขายในไทย ก็มาจากประเทศญี่ปุ่นเสียเยอะอยู่แล้ว
สรุปง่ายๆ คือ โอกาสมาไทยมีสูงมาก แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะขายเมื่อไรอย่างไร ยิ่งเมื่อมองว่าคู่แข่งกลุ่มเดียวกันมีเพียง Nissan ซึ่งใช้ระบบไฮบริดลักษณะคล้ายๆ กัน ความใหม่ของซูบารุ น่าจะดึงความสนใจคนได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
จะมาไทยหรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน แต่วันนี้หลังจากลอง Subaru Forester e Boxer ผมอยากจะบอกเลยว่า มันเป็นรถครบเครื่องน่าสนใจ ความน่าใช้ด้วยการตอบความประหยัดอย่างลงตัว และยังคงความเป็นรถซูบารุไว้ได้อย่างครบเครื่อง
[ngg src=”galleries” ids=”884″ display=”basic_thumbnail”]