“แรงบันดาลใจ” นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก สำหรับคนทุกวัย ในช่วงวัยเด็กเชื่อว่า ทุกคนผ่านการ์ตูนมาแล้วนับไม่ถ้วน กับคนบ้ารถ อย่างผมและคุณผู้อ่านหลายท่าน “Initial D” เรื่องราวของเด็กชาย ทาคูมิ ฟูจิวาระ กับความสามารถอัจฉริยะในการขับรถ ช่วยพ่อส่งเต้าหู้ ไปรีสอร์ทบนภูเขาอากินะ ด้วย Toyota AE 86 น่าจะคงเป็นที่จดจำของหลายคนไม่น้อย
มันสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกชอบรถ รู้จักการขับเข้าโค้งพิศดารที่เรียกว่า “ดริฟท์” จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่กีฬาแข่งรถที่เรียกว่า Drifting การเข้าโค้งที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ เป็นศาสตร์และศิลปะในการขับรถแขนงใหม่
เพื่อนๆ อาจเห็นว่า รีวิวนี้มาแปลก หัวข้อเขียนว่า Subaru BRZ แต่เนื้อหาผมดันเล่ามาถึง Toyota นั่นเพราะในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา บริษัททั้ง 2 มีความแน่นแฟ้นในเรื่องการทำธุรกิจร่วมกัน การเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 16.5 รวมถึงการทาบทามค่ายดาวลูกไก่จากเมืองกุนมะ มาสร้างรถสปอร์ตร่วมกัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่มีใครเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต…..
โครงการพัฒนา Subaru BRZ อาจจะเรียกว่าเป็นเหมือนลูกเมียน้อยสักหน่อย เมื่อมองไปอีกด้านของฝาแฝดมัน Toyota GT86 ผู้สืบต่อตำนาน Toyota AE86 รถสปอร์ตจากยุค 80 ที่กลับมามีชื่อเสียงได้จากการ์ตูนดริฟท์ส่งเต้าหู้ เรื่องราวนั้นเริ่มขึ้น จากที่ประชุมบอร์ด Toyota ในปี 2007
ค่ายสามห่วงเริ่มรู้ว่าพวกเขาต้องการสร้างกระแสความสนใจให้กับแบรนด์มากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีรถฮีโร่ในดวงใจลูกค้า ใช่!! มันต้องเป็นรถสปอร์ต แต่ในเวลานั้นการสร้างรถสปอร์ตออกมาสักคันไม่ง่ายแถมมีการลงทุนสูงมาก ไม่คุ้มเสี่ยง จนเหมือนนี่อาจเป็นตาจนของแบรนด์แถวหน้าของญี่ปุ่น
ฝ่ายการตลาดบอกในที่ประชุมครั้งนั้นว่า ถ้าทางฝ่ายเทคโนโลยี ( วิจัย-วิศวกร) สามารถทำรถที่น่าสนใจออกมาขายได้ พวกเขาจะช่วยดันเต็มที นั่นเหมือนเสียงสวรรค์ ที่นาย เท็ทซึยะ ทาดา เฝ้ารอว่า อย่างน้อยที่สุด ก็มีความหวังเล็กๆ ที่จะปั้นอะไรบางอย่างจากความตั้งใจจริงจากทางฝั่งวิศวกร ไม่ใช่แค่รถที่ทางการตลาดมองว่ามันจะขายได้อีกต่อไป
นายทาดะ (ผมขอย่อชื่ออันเยิ่นยาวของ) พ่อของ GT86 กลับบ้านนั่งคิดว่า รถสปอร์ตในวันนี้มีความน่าเบื่อ พวกมันเร็วขึ้น , ขับดีขึ้น การโฆษณาก็ว่าด้วยการทำเวลาต่อรอบที่ดีกว่า หรือไม่ก็ผมพกม้ามากี่ตัวในเครื่องยนต์ใต้ฝากระโปรง
แต่ความจริงแล้ว คนเล่นรถสปอร์ตตัวจริงหลายคน ยังวิ่งไล่ตามหารถสปอร์ตจากในอดีต อย่าง Nissan Silvia หรือ Toyota AE86 กลายเป็นตำนานจากการ์ตูนดังกลับมีราคาขายที่แม้แต่รถใหม่บางรุ่นยังต้องยอม…
เขาถามตัวเองว่า สูตรสำเร็จเรื่องแรงม้า เป็นของจริง หรือแค่คำโฆษณาเท่านั้น การชักจูงลูกค้าด้วยแรงม้าตอบโจทย์จริงหรือไม่ แม้จะเป็นเรื่องน่าแปลกใจ แต่ นายทาดะค้นหาคำตอบนี้ด้วยวิธีการที่ประหลาดสักหน่อย เขาพบเพื่อนวิศวกรที่คุมโครงการรถสปอร์ตของอีกบริษัท ตั้งวงพูดถึงความจริงว่า มันใช่หรือ ที่รถสปอร์ตจะต้องมีเครื่องแรง เร็วทะลุโลก แล้วดันกลับมาด้วยราคาขายแสนแพง จนไม่มีใครซื้อ มันเป็นวงจรอุบาทของการสร้างรถสปอร์ต (ซึ่งในระหว่างทำการบ้าน เพื่อนวิศวกรพวกเขาก็เห็นด้วย)
การเข้าซื้อหุ้น Subaru จาก GM (General Motor) ในปี 2005 Toyota ไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรมากมาย นอกจากเก็บหุ้นร้อยละ 8.7 ไว้เป็นผลกำไรรายได้แบบที่ไม่ต้องลงทุนให้เหนื่อยเองนัก นายทาดะ เห็นว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการทำให้ทั้งสองบริษัทกลมเกลียวกันได้
ซูบารุก้าวเข้ามามีบทบาทในการพัฒนา เมื่อตอน นายทาดะ เริ่มวาดความคิดรถสปอร์ตใหม่ต้องมีที่สุดของความสมดุลบรรเจิดในการขับขี่ มันเป็นรถเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง จุดศูนย์ถ่วงต่ำ มีทรวดทรงสวยงาม หล่อเหลาเอาการ และราคาจับต้องไหวสำหรับลูกค้า
นายทาดะ มีเครื่องยนต์ในใจ 2 แบบในความคิดสปอร์ตเร้าใจราคาถูกของเขา ด้านหนึ่งคือเครืองยนต์โรตารี่ แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า นับตั้งแต่ Mazda RX-8 เครื่องโรตารี่ก็ไม่โผล่มาในตลาดอีกเลย แถมซดน้ำมันอีกต่างหาก
อีกด้าน ทาดะซัง คิดว่าเครื่องสูบนอน 4 สูบ ก็เจ๋งดีมีศูนย์ถ่วงต่ำด้วย นี่ฟังดูเข้าท่ากว่ามาก ยิ่งโตโยต้ามีหุ้นในซูบารุอยู่แล้วด้วย ก็น่าจะพอตะล่อมขอซื้อเครื่องยกล็อท หรือไม่ก็พัฒนาร่วมกันได้ เขาได้รับคำแนะนำจากฝ่ายบริหารให้ลองนัดประชุมกับค่ายดาวลูกไก่ เผื่อจะหาข้อตกลงร่วมกัน
ตอนนายทาดะประชุมครั้งแรก คนในซูบารุตอนนั้นถามเขาว่า “ใครจะซื้อกันรถสปอร์ตเครื่องธรรมดาไม่มีเทอร์โบขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ใช่ขับเคลื่อนสี่ล้อ” เขากลับไปประชุมหลายครั้งและกลับมาด้วยความล้มเหลว ล่มทุกครั้งที่คุย
จนในที่สุดเขาก็ได้ไอเดียบรรเจิด ในเมื่อพูดมันชักจูงไม่ได้ผล งั้นเราสร้างรถต้นแบบขึ้นมาสักคันให้บรรดาเทพขับสี่เขารู้ว่ามันมีความสนุกอีกด้าน เขาจับ Subaru Legacy มาพัฒนาเป็นต้นแบบขับเคลื่อนล้อหลัง เพื่อร่ายมนต์สะกดเปลี่ยนใจซูบารุ มาร่วมมือในโครงการรถสปอร์ตให้จนได้
เขาให้ทีมวิศวกรซูบารุยืมไปซิ่งหลายครั้ง ทุกครั้งมันกลับมาพร้อมกับยางหลังโล้น บ่งบอกถึงความสนุกสนานอย่างถึงที่สุด ในที่สุดฝ่ายบริหารของซูบารุ ก็เริ่มเปลี่ยนความคิด พวกเขาเริ่มยอมรับว่า รถขับสนุก … ไม่ใช่ขับเคลื่อนสี่ล้อ เป็นไปได้ ..
///
Subaru BRZ คลอดออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกับ Toyota GT86 บ้านเราเอาเข้ามาขายแทบจะทันที ด้วยนโยบายนำเข้ารถสปอร์ตจากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น รถรุ่นนี้ไม่ได้มีการเปิดตัวรถอย่างหวือหวาอย่างรถรุ่นอื่นๆ ทางตันจง นำมันเข้ามาขายเงียบๆ
ท่ามกลางกระแสรถอเนกประสงค์ Subaru XV ที่กำลังชื่นชอบของตลาดในเวลานั้น ผมเคยมีโอกาสขับมันในปี 2014 พบว่าเป็นรถที่ขับสนุกใช้ได้ แต่ยังไม่น่าสนใจ ผมอาจจะยังมีความคิดบางอย่างจนกระทั่งโคจรมาเจอกันอีกครั้ง
ในปี 2017 ,Subaru เอา Subaru BRZ ใหม่ มาโชว์ตัวในงาน Bangkok Auto Salon จอดอยู่เงียบๆ ท่ามกลางดงรถ SUV ที่กำลังนิยมของตลอด มองเผินๆ หลายคนอาจคิดว่ารุ่นเดิมที่เคยวางจำหน่าย เพราะมันดูไม่ได้ต่างกันมาก
การเปลี่ยนแปลง Subaru BRZ โฉมปี 2017 (รุ่นที่ทดสอบคือ 2019) มาพร้อมไฟหน้าใหม่ ใส่รายละเอียดเอกลักษณ์ซูบารุมากขึ้น ปรับช่วงกันชนหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ดูสปอร์ตกว่ารุ่นเดิม ส่วนด้านหลัง เปลี่ยนไฟท้ายใหม่มีลักษณะ 3 มิติยิ่งขึ้น ดูมีรายละเอียดตอบความสปอร์ตสีแดงเด่นมาแต่ไกล จินตนาการดีๆ จะแลคล้ายนกหวีด พร้อมท่อคู่จากโรงงาน เวลาขับไปในซอยบ้านไม่มีใครด่าว่า “ลั่นทุ่ง” เข้าออกหมู่บ้านได้สบาย เมื่อเร่งรอบสูงเสียงจะดังออกมาไพเราะเสนาะหูยิ่งขึ้น
หลังคาแบบ คาทามารัน มีร่องกลาง ติดตั้งเสาอากาศคลีบฉลามเสริมแต่งความหล่อเหลามาแต่ไกล ล้ออัลลอยเองก็เป็นทูโทนลายใหม่ขอบ 17 นิ้ว กว้าง 7 นิ้ว ทุกล้อใช้ยางเท่ากัน 215/45/R17 ขนาดที่คุ้นเคยสำหรับสายซิ่งทั้งหลาย
ตัวรถแนะนำออกมาในรูปแบบสปอร์ตคูเป้ 2+2 นั่งปกติ 2 คน และสามารถหอบเพื่อนไปได้อีก 2 คนถ้าต้องการ ตัวรถ 4,240 มม. กว้าง 1,775 มม .สูง 1,320 มม. หรือเทียบกับรถปกติ ก็เป็นเพียง Compact car เท่านั้นแหละ
กุญแจรีโมท Keyless กลายเป็นมาตรฐานใหม่ให้ความสบาย ในยามกลางคืนเดินมาไฟก็ติดต้องรับ สัมผัสก็เข้ารถได้ทันความเป็นรถคูเป้ประตูจะมีความยาวเป็นพิเศษต้องกะจังหวะเปิดดีๆ ไม่งั้น อาจจะไปกระแทกรถคันข้างๆ ได้ ประตูช่วงยาว ทำให้การขึ้นลงรถสะดวกมาก แต่อาจะรู้สึกแปลกสักหน่อย เมื่อหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งทรงสปอร์ตด้านหน้า ถ้าเทียบกับรถทั่วไป เหมือนเรานั่งจะลงมาเกือบติดพื้น
มันไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เมื่อเราพูดถึงรถสปอร์ตจริงจัง คุณรู้สึกได้ถึงความเตี้ยของรถ ทั้งที่ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องก็ราวๆ 120 มม. มันเตี้ยกว่าในเวอร์ชั่นเกียร์ออโต้อยู่ 10 มม. นั่นคือที่หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงมาก่อน
เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้ม Alcantara แบบใหม่นี้ออกแบบมากระชับดีมาก ผ้าแบบนี้เกาะดูด เสื้อผ้าเราราวกับตีนตุ๊กแก บนพนักพิงมีคำว่า “BRZ” สีแดงขนาดใหญ่ รับเข้ากับการตบแต่งดำเดินด้ายแดงและลายคาร์บอน ถ้าคุณเป็นคนตัวใหญ่ นั่งช่วงแรก อาจจะรู้สึกว่าปีกเบาะช่วงตัวบีบไขมันคุณเสียเหลือเกิน ปีกช่วงไหล่ไม่กว้างมากนัก ท่านั่งเบาะเอง ก็ทำให้รู้สึกว่าเตี้ยลงไปอีก ราวกับจะติดพื้น
นั่งสัก 2-3 นาที ร่างเริ่มปรับตัวกับเบาะบัคเกทซีทสปอร์ท ผมปรับท่านั่งด้วยมือ สิทธิเท่าเทียมกันไม่ว่าคนขับคนนั่ง สำรวจรอบข้าง มันมาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังชั่น มีทั้งคุมเครื่องเสียง ติ่ง Cruise Control วงพวงมาลัยเล็ก แป้นแตรทรงกลม และ ฝั่งขวาคุมมาตรวัดใหม่
ครั้งนี้มีจอ MID มาให้ สามารถใช้งานได้หลายอย่าง ทั้งบอกค่าการเดินทาง อัตราประหยัด หรือ คุณจะเปลี่ยนให้มันพร้อมใช้งานในสนามก็ได้ ด้วยนาฬิกาจับเวลา หรือ วัดค่าแรงหวี่ยงในขณะเข้าโค้ง ถ้าใครบอก โหพี่รถผมซื้อรถซิ่งทั้งที ไปต้องไปจัดเกจ ดิฟฟี่ยกชุด …. จะบอกว่า เดี๋ยวใจเย็น หน้าจอนี้เขามีบอกค่าความร้อนหม้อน้ำ , น้ำมันเครื่อง และ โวล์ตมาให้แล้ว เพียงพอแล้วไม่ต้องเยอะ
ส่วนตัวเรือนบอกความเร็วก็มีให้ทั้งอนาล็อก และดิจิตอล มีตัวชี้นำขึ้นเกียร์ให้ด้วย หรือถ้าคุณห้าวลากรอบยาวๆ รีดแรงม้าสูงสุด ก็มีทั้ง Shift Light และ เสียงช่วยเตือนคุณว่า เฮ้ย! เปลี่ยนเกียร์ ทำให้คุณสนุกสนานในการขับขี่มากขึ้น แถมไม่หลงเกียร์เวลาขับเพลิน ด้วยตัวบอกตำแหน่งเกียร์ ทั้งหมดที่กล่าวมาผมว่าครบแล้วล่ะ
ตอนผมขอยืมรถคันนี้ น้องไบร์ทสุดหล่อทีมการตลาดซูบารุ ถาม … พี่บอล จะรับเกียร์ธรรมดา หรือ เกียร์อัตโนมัติดีครับ …. ผมตอบแบบไม่ต้องคิดมาก “เกียร์ธรรมดา” ครับ (จะได้ซิ่งมันส์ๆ หน่อย)
ตรงกลางยังคงติดวิทยุโบราณไฟเขียว สื่อหลายคนรวมถึงผมวิจารณ์ว่า นี่มันวิทยุ Vigo นี่ มันดันมาอยู่ในรถสปอร์ต แม้แต่เดือนเองก็ยังถามว่าทำไมเป็นแบบนี้ เอาตามตรงนะ ผมคิดว่า เขามองว่าก็มีมาให้ฟังเพลงก็พอไม่ต้องจอสีเชื่อมต่อ Bluetooth อะไร อยากฟังเพลงก็อัดไฟล์ใส่ thumb drive มาฟัง หรือเอาคุณภาพเสียงแจ่มแจ๋วก็ CD เลย ตัดปัญหามานั่งคอยเชื่อมต่อ คอยซิ่งมันจะเกิดอุบัติเหตุเอา
ถัดลงมาจากเครื่องเสียงให้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวาได้ตามต้องการ พร้อมปุ่มสตาร์ทจัดวางอย่างสวยงาม คันเกียร์ธรรมดา และปุ่มตัดการทำงานตัวช่วย งวดนี้สามารถยกเลิกได้หมด ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพียงกดแช่ปุ่มไว้ 3 วินาที จนขึ้น TRC off และ VSC off ความสนุกสนานแท้จริงรออยู่
ข้างๆ กัน ปุ่ม VSC Sport หายไป เปลี่ยนเป็น Track Mode อันที่จริงมันคือโหมดเดียวกัน แต่จากที่ผมหาข้อมูลมาในเชิงลึกโหมด Track จะปลดระวางระบบช่วยเหลือในการขับขี่ออกไป แต่จะพร้อมช่วยคุณตลอดเวลา ยกตัวอย่าง คุณจะลองดริฟท์ คุณใช้ Track คุณดริฟ คุณพลาด ระบบควบคุมการทรงตัว จะช่วยให้รถคุณไม่หมุน แต่ถ้าคุณห้าวปิดทุกระบบหมด บอกเลยว่า มีหมุนโชว์แน่นนอน
ส่วนด้านหลัง มาพร้อมที่นั่ง Bench seat บางคนมองบอกผู้ใหญ่นั่งไม่ได้หรอก เด็กยังยากเลย แต่เอาจริงๆ นะ ผมลองให้เจ้านัทไปนั่ง แล้วเจ้าเดือนนั่งข้างหน้า ยืนยันครับว่านั่งได้ แต่เข่าติด มันเหมาะกับการรับเพื่อนไปไม่ไกลมาก เช่น เพื่อนติดไปลงหน้าปากทาง หรือ เดินทางในเมือง ถ้าไกลกว่านี้ไม่เหมาะเท่าไรนัก ต่อให้เพื่อนรักแค่ไหนก็อาจจะเกลียดกันได้เลย หรือถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ก็สามารถติดตั้ง Car seat ได้ ยังพอใช้เจ้าสปอร์ตได้ จนกว่าลูกจะโต
ถ้าคุณคิดว่าประโยชน์ Subaru BRZ มีแค่นี้ ขอให้คิดใหม่ เบาะนั่งหลังสามารถปรับพับได้ 100% เผื่อยามที่คุณจะซื้อของชิ้นใหญ่เข้าบ้าน สามารถเปิดใช้พื้นที่ได้ในยามจำเป็น ด้านหลังมีห้องสัมภาระแยกส่วนกัน เปิดมาปุ๊ป ก็จ๊ะเอ๋! ยางอะไหล่ทันที มันตั้งโดดๆ ไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น ทำให้ยากสักหน่อยในการเอากระเป๋าเดินทาง 20 นิ้วเข้าไปใส่ ผมแนะว่า ถ้าจะเอารถเดินทางจริง ต้องเป็นกระเป๋าผ้า หรือ เป้ จะดีกว่า พื้นที่ความจุสัมภาระท้ายนี้มี 218 ลิตร ก็เกินพอสำหรับการใช้งาน 2 คน
//
สำรวจกันมานาน น่าจะได้เวลาไปลองของสักที !! Subaru BRZ รุ่น ปี 2017 ยังคงพกเครื่องยนต์ Boxer 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หลายคนรวมถึงผมในอดีต (วันที่ลอง Subaru BRZ ครั้งแรกในปี 2014 ) คิดว่า ทำไมไหน ๆ จะทำรถสปอร์ตแล้ว Toyota ไม่ทำเครื่องเทอร์โบให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แถมเมื่อออกมาขายสาวกก็พูดไปในทางเดียวกันว่า เฮ้ย!! นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ว เทอร์โบอ่ะมีไหม …
เรื่องนี้ต้องย้อนไปหานายทาดะตอนเล่าเบื้องหลังโครงการพัฒนา Toyota 86 อีกครั้ง …
เรามาถึงตอนที่ ทาดะ กล่อมซูบารุสำเร็จ พวกเขายอมรับแล้วว่ารถขับเคลื่อนล้อหลังก็สนุกได้ และตัดสินร้องเพลง “มามะ มาจอยกัน จอยกัน” (เหมือนเพลงนี้จะบอกอายุเราเลยเว้ย)
ปัญหาของรถสปอร์ตในยุคภาวะโลกร้อน Global Warming เพียงคุณลั่นว่าจะทำรถสปอร์ต ปัญหานับไม่ถ้วนตามมาทันที เรื่องหนึ่งคือ การปล่อยไอเสีย ความท้าทายสำคัญคือ ต้องทำให้มันปล่อยไอเสียต่ำกว่า 160 กรัม ต่อกิโลเมตร และควรมีกำลัง 100 แรงม้า ต่อลิตร 200 แรงม้า จากเครื่อง 2.0 ลิตร จึงนับว่าท้าทายไม่น้อย
ช่วงแรกปัญหาบังเกิด คุณอยากได้รถปล่อยไอเสียน้อยใช่ไหม … ได้ ทาดะ เราซูบารุจากเมืองกุนมะ จัดให้ พวกเราทำได้ แต่พัฒนาเครื่องยนต์ยังไงมีกำลังเพียง 60 แรงม้าต่อลิตร หรือมันมีกำลังเพียง 120 แรงม้าเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยทีเขาจะกุมขมับ โวะ!! นี่มันอะไรกัน ผมทำรถสปอร์ตนะไม่ได้รถจ่ายกับข้าว ทีมงานเจอทางตันอีกแล้ว แต่ทาดะซัง ไม่ยอมแพ้ เขาไปหาท่านปรมาจารย์วิศวกรใน Toyota , ผู้เชี่ยวชาญการสร้างรถสปอร์ตมากที่สุด ใครเลยจะดีกว่า นาย ฮารุฮิโกะ ทานาฮาชิ ผู้สร้างรถ Lexus LFA หนึ่งเดียวซุปเปอร์คาร์จากแบรนด์สุดหรู
นายทานาฮาชิ เรียกว่าเป็นผู้คร่ำวอดวงการรถสปอร์ตมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยเขาหนุ่ม ทำงานกับรถที่สายซิ่งรู้จักกันมากมาย ทั้ง Toyota Aristo , Toyota Soarer หรือ Toyota Crown รวมถึง Toyota Mark II
สายอาชีพเขาในระดับหัวหน้าโครงการวิศวกรรมเริ่มในปี 2000 หลังจากทางบริษัทต้องการรถซุปเปอร์คาร์ที่สามารถเกรี้ยวกราดเร็วได้ถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเขากับทางเลกซัส
การปรึกษาของ นายทาดะ กับ ทานาฮาชิ ฟันว่าปัญหาคือ การจ่ายน้ำมันให้เครื่องยนต์ มันต้องการของดีจากโตโยต้า นั่นคือระบบ D4S ระบบจ่ายน้ำมัน 2 หัวฉีดแบบใหม่ ที่สามารถฉีดได้ทั้งแบบ Direct Injection และ Port Injection รวมถึงปรับปรุงการออกแบบกระบอกสูบและช่วงชักใหม่ด้วย
วิศวกร 2 คนที่บ้ารถเหมือนกันไม่ใช่ปัญหา ประเด็นอยู่ที่ฝ่ายบริหารมองว่า “บ้าเปล่า” เอาของดีไปให้ซูบารุใช้ด้วย ถึงจะเกี่ยวดองกันอยู่บ้างก็เถอะ
ศึกในบ้านก็มี พันธมิตรก็ดูเหมือนจะไม่ช่วย ความตั้งใจนายทาดะ รู้ถึงหูของนาย ชินโซ โคบูกิ ชายคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังโครงการพัฒนารถ AE86 รุ่นก่อน เขารู้ว่าทาดะ น่าจะทำได้ เพียงต้องการตัวช่วย เขาอาสาว่า จะกล่อมเหล่าผู้บริหารที่อาจยังไม่เข้าใจความตั้งใจของวิศวกรหนุ่มที่ต้องการทำรถสปอร์ตให้เป็นจริง
จนแล้วจนรอด ทางผู้บริหารก็คล้อยตาม นายโคบูกิ ในฐานะผู้ใหญ่ในบริษัท นั่นก็ใช่ว่าจะจบเรื่องเสียทีเดียว ทางซูบารุเองแสดงท่าทีว่าไม่อยากได้เทคโนโลยีดังกล่าว เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาพวกเขามีปัญหากับเครื่องยนต์ฉีดตรงมาก่อน แม้ว่าทาดะ จะไปพยายามพรีเซ็นท์อย่างถึงที่สุดแล้วก็ตาม จนเป็นอีกครั้งที่นายโคบูกิเข้ามาช่วยดูแล และรับปากทางซูบารุว่า ถ้ามีปัญหาพวกเขาจะรับผิดชอบเอง
ในที่สุดเครื่องยนต์ต้นแบบถูกสร้างขึ้น ให้พลัง 190 แรงม้า ใกล้เคียงกับที่ ทาดะตั้งใจ ทีแรกเขาคิดว่า น่าจะไม่สำเร็จ แต่ ซูบารุ ยอมรับและเข้าใจแล้วว่า เขาทำอะไร …. มันคือชัยชนะของทั้งซูบารุ และโตโยต้า จนทำให้ Subaru BRZ และ Toyota GT86 ออกมาขายได้จริง
ที่สำคัญ หลายคนเชื่อว่า Subaru ได้เรียนรู้การทำรถยนต์เครื่อง Direct injection จากโครงการพัฒนารถสปอร์ตคันนี้ จนวันนี้ เครื่องซูบารุใหม่ๆ เป็นระบบฉีดตรงเกือบทั้งหมด
ถ้ามองในมุมคนใช้รถทั่วไป เราคงอยากได้อะไรที่คนอื่นเขามี ยุคนี้สมัยนี้เครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบดูจะเป็นเพียงเครื่องยนต์สำหรับรถบ้านจ่ายตลาด ขับใช้ในประจำวันเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่คนเล่นรถจะกระจองงอแง่ว่า ทำไม GT86 หรือ BRZ ไม่มีเทอรโบมาให้
แถมกำลังเครื่องก็ไม่ได้มากมาย อาจโดนรถบ้านๆ แต่งเครื่องแรงๆ สวนได้อีกต่างหาก กำลังเพียง 200 แรงม้า แรงบิด 205 นิวตันเมตร มันไม่ได้มากมายอะไรนัก รุ่นใหม่ปี 2017 ที่นำมาขับวันนี้ มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 205 แรงม้า ทำแรงบิด 205 นิวตันเมตรเช่นเดิม ระนาบต่อเนื่องที่ 6,400-6,600 รอบต่อนาที หลายคนบอกโห่ ไม่แรงเลย !!
คันที่ผมนำมารีวิวเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มีอัตราทดเน้นความเร้าใจทดชิดที่เกียร์ 3-4-5 และ 6 เผื่อต้องลากยาวขับทางไกล ดังนี้
ตารางอัตราทดเกียร์
อัตราทดเกียร์ | |
เกียร์ 1 | 3.626 |
เกียร์ 2 | 2.188 |
เกียร์ 3 | 1.541 |
เกียร์ 4 | 1.231 |
เกียร์ 5 | 1.000 |
เกียร์ 6 | 0.767 |
อัตราทดเฟืองท้าย | 4.100 |
ก่อนจะเริ่มซิ่งต้องถอยรถออกจากซองให้ได้ก่อน เกียร์ถอย Subaru BRZ เกียร์ธรรมดาคล้าย BMW ในอดีต ด้วยการยกขึ้นแล้วลากไปทางซ้ายสุดเพื่อเข้าตำแหน่งเกียร์ หลังออกจากช่องได้ ผมย้ำคลัทช์เดินหน้าออกถนนใหญ่ น้ำหนักคลัทช์สปอร์ตคูเป้ 200 ม้า ไม่หนักมาก นิ่มนวลสบายกกำลังดี ระยะจับกลางๆ ไม่ตื้นหรือสูงเกินไปจนกลายเป็นรถกระบะ ชุดคันเกียร์ครบเครื่องด้วยคัน short Shifter มาให้จากโรงงานไปต้องโยนไกล เข้ากระชับไม่เสียจังหวะ ต่อเนื่องได้ตลอดตามต้องการ
ออกถนนใหญ่ยามเย็นด้วยรถเกียร์ธรรมดาหลายคนคงบอกว่า “ช่างกล้าเนอะ” ผมอยากบอกครับว่า มันขับง่ายมาก ผมผ่านด่านอรหันต์จากลาดพร้าวมาบ้านด้วยเวลา 2 ชั่วโมง นั่งแช่ท่ามกลางรถติดไม่มีอาการเมื่อยล้า ไม่ใช่เพราะว่าชิน แต่มันเป็นรถที่มาพร้อมคลัทช์ขับสบาย
ปัญหาเวลาขับในเมืองข้อเดียวคือ คุณอยู่เตี้ยกว่าชาวบ้านสักหน่อย มองอะไรไม่ค่อยเห็นเท่าไร ความเตี้ยของมันทำให้บางครั้งมองเห็นใต้ท้องพวกรถ PPV เป็นประจำและหวั่นใจกับความปลอดภัยสักหน่อย เมื่อรถ 18 ล้อ ขับมาขนาบข้าง จังหวะเบียดรถ เวลาต้องแทรกขอย้ำว่าควรดูให้ดี โชคดี ความสปอร์ต 2 ประตูของมัน ทำให้หลายคนอยากเชยชม เขาแทบจะเปิดกระจกผายมือ แล้วบอกว่า เชิญเลยครับ !!!
ขับในเมืองกับรถซิ่งเครื่อง 2.0 ลิตร ในวันศุกร์สิ้นเดือนไม่ต้องบอก ก็คงพอเดาได้ว่ารถติดมหาศาล Subaru BRZ เครื่อง 2.0 ลิตร ธรรมดา ขับความเร็วไม่มีเกิน 30 ก.ม./ช.ม. ม้าทั้งคอกหลับสนิท ใช้ Walking Speed ไปเรื่อยๆ เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่คุณจะพบเจอได้ในกรุงเทพมหานค รระยะทางจากซูบารุเสรีไทยกลับบ้าน 56.1 กิโลเมตร ซัดน้ำมันไป 7.18 ลิตร ดีดตัวเลขออกมา ได้ 7.8 กิโลเมตรต่อลิตร กินพอตัว แต่ไม่โหดเท่าเครื่องเทอร์โบแน่นอน
มีรถสปอร์ตทั้งทีคุณอยากไปไหน .. มันต้องไปต่างจังหวัด หาทางสนุกๆ ซิ่งมันส์ๆ ให้หายบ้าคลายเครียด เดี๋ยวนี้ถนนกาญจนาภิเษกรถติด ทุกวันเสาร์ ผมจึงลัดตัดซอยกันตนา ไปนครชัยศรี ก่อนมาโผล่เพชรเกษมอีกครั้ง ปลายทางเราขับไปชะอำ …. ถ่ายรูปชิคๆ แล้วกลับบ้าน ตามภาษานักทดสอบรถ
เวลาคุณขับรถทางไกล Subaru BRZ ใช้รอบเครื่อง สูงสักหน่อย ที่เกียร์ 6 ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะอยู่ที่ ประมาณ 2,900 รอบต่อนาที และขยับขึ้นเป็น 3,100 รอบต่อนาทีที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. ถ้าอยากเดินทางในช่วง ไม่เกิน 3,000 รอบต่อนาที ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 115 ก.ม./ช.ม. มันไม่เร็วหรือช้าเกินไปกำลังดี และไม่เป็นที่เพ่งเล็งของพี่จ่าสักเท่าไร
ระหว่างทางคุณมี 205 แรงม้า คงไม่ขับให้เต่ากัดยางหรอก มันก็ต้องมีบ้างที่จะเผลอไผลใช้ความเร็ว เร่งแซงเลนสวน มองหน้าปัดอีกทีอาจจะอยู่ที่ 140 ก.ม./ช.ม. หรือ บางครั้งเพื่อนร่วมทางกระบะแต่งซิ่ง อีโค่คาร์แว้นซ์ หรือ พีพีวีแต่งเต็ม ชอบจะมาทักทายเสียเหลือเกิน ต้อนรับแขกกันอย่างถ้วนหน้า ไม่ได้หว่างเว้น เราก็ต้องโชว์ความเป็นรถสปอร์ตไปบ้างพอหอมปากหอมคอ พวกนี้ส่วนใหญ่เกิน 185 ก.ม./ช.ม. ก็บายกันไป
การมุดท่ามกลางจราจร Subaru BRZ คล่องตัวมาก ขนาดรถเล็ก น้ำหนักเบา มิหนำซ้ำยังจุดศูนย์ถ่วงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทำให้การโคลงตัวน้อยมาก พวงมาลัยทดมาได้ค่อนข้างคม แต่ไม่เกินงามขับแล้วรู้สึกว่าไปตามใจกระชับ ไม่ไวจนเกินไปนัก การคัดพวงมาลัยวงเล็กเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกขับสนุก
และถึงมันจะไม่ใช่ขับเคลื่อนสี่ล้อตามดีเอ็นเอเหมือนพี่น้องดาวลูกไก่ ความเป็นเด็กนอกคอกก็ไม่ได้ทำให้ย่อหย่อนเรื่องการเข้าโค้ง คุณสามารถสนุกสุดแสนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ พุ่งเข้าไปหาโค้งอย่างรวดเร็ว เบรกเชนเกียร์ลดความเร็วเหมาะสมไหลเข้าเล็กน้อย ถึงกลางโค้งกดคันเร่งออกจากโค้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนรถขับเคลื่อนสี่ล้อ มันสนุกต่างกัน
ยิ่งโค้งโหดๆ ม้วนเยอะๆ ถ้าเข้าที่ความเร็ว 100-110 ก.ม./ช.ม. ได้ คุณจะไปราวกับรถไฟเหาะ ถ้ามีสาวนั่งไปด้วยอาจมีกรี๊ดแตกบ้างเล็กน้อย ถ้าอยากสนุกยิ่งขึ้นไป Track Mode จะรู้สึกทันทีว่ารถขับสนุกขึ้นอีกเป็นกอง แต่ถ้าต้องการวาดลีลาแบบรถส่งเต้าหู้เข้าสิงห์ร่าง ทาคูมิองค์ลงก็ปิดมันทุกระบบไปเลย รับประกันความสนุกสนาน
ขับระห่ำๆ แบบตำรวจพร้อมแจกใบสั่งแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่า Subaru BRZ ไม่กินน้ำมันมากมายนัก ระยะทาง 258.7 กิโลเมตร ถึงหัวหินด้วยน้ำมันครึ่งถัง เติมจริง 22.991 ลิตร อัตราประหยัดอยู่ที่ 11.25 กิโลเมตรต่อลิตร มันกินกว่ารถปกติเครื่อง 2.0 ลิตร เล็กน้อยเท่านั้น
ขากลับกรุงเทพผมทดลองขับกลับด้วยการลาก 6 ยาวๆ ใครจะมาเล่นด้วย ก็ตบซ้าย ถ้ารีบเชิญก่อนเลยครับ จากหัวหินมาเติมอีกทีช่วง วังมะนาว ระยะทางราว 107.5 ก.ม.เติมจริง 8.49 ลิตร อัตราประหยัดอยู่ที่ 12.66 ก.ม./ลิตร ค่อนข้างประหยัดเลยทีเดียวเชียวล่ะ
รถแห่งความบันเทิง ถ้าขับเป็น!!
สปอร์ตคูเป้ 205 แรงม้า ฟังดูก็ไม่ได้เด่นอะไรใช่ไหม แต่คุณรู้ไหมว่ารถคันนี้พกความสนุกเต็มกระเป๋า ผมไม่ได้พูดถึงแค่ระบบเกียร์ธรรมดาเท่านั้น ใต้เรือนร่างคูเป้ ยังมีเฟืองท้าย Torsen Limited Slip Differential รวมถึงระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็น Double wish Bone
การเซทช่วงล่างรุ่นปี 2017 เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อน จากที่ขับหลายวันสัมผัสได้ว่าสปริงด้านหน้าดูหนึบกว่าด้านหลังนั่งแล้วสบายกว่ารุ่นเดิม ก่อนหน้านี้ผมจำได้ตอนเอารถรุ่นนี้มาขับในปี 2014 รู้สึกว่าแข็งดิบ ขับบนถนนไกลๆ นานๆ มีเหนื่อยแถมการจะทำให้ท้ายออก อวดลีลาสวยๆ แทบไม่มีทางเลยก็ว่าได้
ครั้งนี้รู้สึกเปลี่ยนไปสบายขึ้น พวงมาลัย -เกียร์กระชับขึ้น คันที่ผมขับนี้เป็นคันเดียวกับ ที่พี่แพน Headlightmag.com เคยนำมาขับก่อนหน้านี้ จนพี่เขามาแซวใน Facebook ว่า ขอโทษพี่ผลาญยางเอง … 55 (เราก็อยากจะบอกว่า หมดจากผม ซูบารุ คงต้องเปลี่ยนยางให้น้องขาวคันนี้แล้วแหละครับ 55)
อันที่จริงรถขับหลังเกียร์ธรรมดา ไม่ใช่ของใหม่ในวงการรถยนต์ แต่เราไม่เห็นมันมานานมากหลายปี ถ้าคนวัยเก๋ารุ่นเก่าจะเรียกรถกลุ่มนี้ว่า “รถอาจารย์” มันคือรถที่ต้อนรับคุณเข้าสู่โลกความเร็วของแท้ คล้ายๆกับ บิ๊กไบค์กลุ่ม 400-500 ซีซี
เครื่อง 205 ม้า ขับหลัง เกียร์ธรรมดา เพื่อนๆ คงคิดมันไม่เท่าไรหรอก!! ผมรถบ้านเดิม ๆ จูนกล่อง ก็วิ่งทัน …. แต่ความสนุกในการขับรถ หลายครั้ง มันไม่ได้อยู่ที่ความแรงเสมอไป
มันขับสนุกอย่างไร ผมให้เดือนนั่ง… ปิดโหมดตัวช่วยต่างๆ ที่เหลือคือ ฝีมือ ทักษะ และสัญชาติญาณการขับรถล้วนๆ กลับรถดีๆ น่ะ เป็น แต่ถ้ามี BRZ ลองเร่งสัก 2 พันรอบหน่อยๆ หักพวงมาลัย กระแทกคลัทช์ออกตัว เมื่อไม่มีตัวช่วยรถจะม้วนตัวงามๆ พร้อมเสียงเอี้ยดอ้าด!! ชวนให้หลายคนมอง
หรือ เวลาถนนว่างๆ ไม่มีใครช่วงกลางคืน คุณเร่งออกจากปั้มน้ำมัน แล้ว หักพวงมาลัยเร็วๆ รถท้ายจะออกสะบัด ให้คุณแก้อาการสนุกๆ นี่ยังไม่นับทางโค้งต่างระดับ เปลี่ยนจากโค้งอันน่าเบื่อ กลายเป็นสวนสนุกได้ตามต้องการ ทุกอย่างสั่งได้อยู่ที่ใจและความกล้าของเรา ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆ ที่ผมลองเล่นกับ Subaru BRZ
การทำให้คุณต้องแก้อาการตลอดเวลา (ถ้าปิดตัวช่วย) ทำให้คุณรู้จักการควบคุมจังหวะ คุมหรือปล่อย เมื่อไรจะเดินคันเร่ง เมื่อไรจะเข้าเกียร์ จะเข้าโค้งอย่างไรให้เนียน หรือ ถ้าเซียนจริง ก็สามารถเอารถเดิมๆ คันนี้ไปดริฟท์ได้เลย ก็พอไหว
คุณสามารถสนุกกับมันได้ทุกที่ จะลองเบิร์นยางโชว์ , จะเอี๊ยดสามเกียร์ หรือ ดริฟท์เบาๆ ระหว่างกลับรถเข้าบ้าน ก็คงไม่มีใครกล้าว่าคุณ เพราะมันคือรถสปอร์ต มันเกิดมาเป็นแบบนี้ แค่ผมเลี้ยวออกจาก 7-11 แถวบ้านยังเอียดเล็กๆ จากเฟืองท้าย LSD ข้างหลัง ไม่ได้กวนนะ ก็รถมันเป็นแบบนี้
นี่ยังไม่นับรอบเครื่องที่เดินลึกถึง 7,250 รอบต่อนาที มันให้คุณไปได้มากกว่ารถธรรมดาทั่วไป พิกัดรถเปล่าเบาหวิว 1,258 กิโลกรัม เวลากดคันเร่งเต็มๆ เสียงเร้าใจมาเต็ม รถพุ่งราวกับไม่มีทางที่คุณจะหาทางขับมันได้หมด บนถนนปกติทั่วไป คุณไม่เจอรอบเครื่องลึกขนาดนี้ในรถปกติทั่วไป แน่นอน
สรุป Subaru BRZ สปอร์ต ขับสนุก ฝันเป็นจริงคนชนชั้นกลาง
การมีรถสปอร์ต ผมมั่นใจว่าเป็นฝันของหลายคน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่รถสปอร์ตสมัยนี้มีราคาแพง แม้จะแลกมาด้วยม้าจำนวนมหาศาลตอบสนองความเร้าใจเต็มอารมณ์ก็ตาม บางทีต้องถามว่าเราต้องการมันจริงหรือ ม้ามากก็ซดน้ำมันมากเป็นเงาตามตัว
Subaru BRZ เป็นรถที่เปลี่ยนความเชื่อในหลายอย่าง ทั้งรถสปอร์ต ต้องแรง หรือมันน่าจะมีราคาแพง ราคาจริงๆ ของมันไม่ได้แพงนัก อย่างคันที่ผมขับนี้ ราคาจำหน่ายจริงเพียงแค่ 1,850,800 บาท เท่านั้น (ราคาไม่รวมประกันคุณภาพรถใหม่ 5 ปี 100,000 ก.ม. ที่มีมูลค่า 415,000 บาท)
หลายคนเบ้ปากมองบนแล้วบอกว่า “ไหนถูก” แต่นี่เรากำลังพูดถึงรถใหม่นำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน คุณได้รถที่ผลิตจากโรงงานในเมืองกุนมะ ส่งตรงถึงโชว์รูมในไทย แถมเป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตูขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมเกียร์ธรรมดา 200 กว่าแรงม้า ในวันนี้ผมว่าไม่มีรถสปอร์ตรุ่นไหน ทำราคาถูกเท่านี้แล้วในบ้านเรา
ราคา 1.8 ล้าน นั่นพอๆ กับ ซีดานกลาง หรือ PPV สักคัน ราคาขนาดนี้ ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมสำหรับใครหลายคน ถ้ามีรายได้ครอบครัวเดือนละ 5- 6 หมื่น หากไม่มีภาระอื่น สามารถซื้อได้สบายเลย ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่ผมว่าปัญหาของ Subaru BRZ คือมันไม่ใช่รถใช้งานสำหรับครอบครัว มันต้องเป็นรถที่ชอบแล้วซื้อไว้ขับเล่นในวันว่าง ไม่ใช่รถคันเดียวในบ้านแน่นอน รถคันนี้ไม่สะกดคำอื่นนอกจากคำว่า “สปอร์ต” เพียงอย่างเดียว คุณสนุกกับมันได้ทุกเวลา ขับเจ้านี่ไปไหนมาไหนก็ได้ จอดที่ไหนก็ดูดี คนชอบมองมัน ตลาดวันนี้ไม่มีรถสปอร์ตคูเป้จากแบรนด์ญี่ปุ่นยกเว้นรถรุ่นนี้รุ่นเดียวที่ขายในไทย
มันซิ่งได้จริง ท็อปสปีดสูงสุด 219 ก.ม./ช.ม มากกว่ารถเครื่อง 2000 ซีซี ทั่วไปที่จะไม่มีทางทะลุ 200 ก.ม./ช.ม. แต่มันไม่ใช่รถที่คุณจะเอาตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ไปโม้กับใครได้ มันเป็นรถซิ่ง 10 วินาที ที่แม้แต่รถบ้านแต่งดีๆ อาจสวนกระจุย พวกเขาอาจตามบี้ตูดคุณได้ในทางตรง แต่เมื่อเข้าโค้งคุณจะรู้จักว่า รถสปอร์ตคืออะไร มันไม่โยนเหมือนรถทั่วไป คุณเข้าโค้งได้เร็วสบายๆ หรือจะดรริฟท์โชว์เข้าโค้งก็ทำได้ มันมีความดิบให้คุณรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เสพความเร็ว จนขึ้นรถคันนี้ทุกครั้งจะต้องขับอย่างระห่ำจนลืมค่าน้ำมัน
ถ้าใครกำลังกังวลว่ารถสปอร์ตขับหลังจะยากเกินไปไหมที่จะควบคุม ต้องบอกว่า Subaru BRZ เป็นรถที่ขับง่ายมาก ยามขับปกติก็เปิดระบบต่างๆ ไว้ จะขับผ่านฝน พื้นลื่นใดๆ ก็ไร้ปัญหา ถ้าอยากสนุกปิดระบบต่าง ไปหาที่ว่างๆ ฝึกหัดควบคุมรถ ลงสนามแข่งในวันอาทิตย์ว่างจากการทำงาน มันเป็นรถที่มีสมดุลดีมาก ไม่ใช่เพียงการออกแบบฐานล้อยาว ระยะยื่นสั้นเท่านั้น หรือช่วงความกว้างระหว่างล้อเท่านั้น
การใช้เครื่องยนต์บ๊อกเซอร์ 4 สูบ , การดันคุณไปไว้กลางรถ ตำแหน่งแบตเตอร์รี่ , ยางอะไหล่ และอื่นๆ อีกมากมาย สารพัดสารพัน ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายน้ำหนัก ในอัตรา 53/ 47 ระหว่างหน้าและหลัง ถ้าเกิดคุณเล่นโค้ง จนโอเวอร์สเตียร์ ก็แก้กลับได้ง่าย ไม่ยากจนเกินไปนัก ถ้าเริ่มมีทักษะ จะกลายเป็นรถที่ขับสนุกไปในทันใด รถแบบนี้จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการขับรถ นี่คือสาเหตุที่คนเรียกว่า “รถอาจารย์”
ถึงจะมีดีเป็นรถขับสนุกมากมายจนเกือบลืมว่ามันมีข้อเสีย แต่อย่างที่เราพูดเสมอ ไม่มีรถคันไหนเพอร์เฟค ประการแรกคือวิทยุ สมควรจะเปลี่ยนได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดให้แสงสีมันล้อกันกับคอนโซลสีส้มของรถก็ยังดี แถมแตรรถราคาล้านแปดเสียงกลับน่าจะไพเราะกว่านี้นะตามความรู้สึกผม แถมบ้านเราไม่มีชุดแต่งสปอร์ยเลอร์กลับหายไป
รวมถึงปัญหาสำคัญที่บ้านเราน่าจะแก้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย คือ เจ้านี่สมควรเติมน้ำมันออกเทน 98 เพื่อรีดแรงม้าได้อย่างมีประสิทธิภพมากที่สุด ซึ่งบ้านเราค่าออกเทนเดียวกันมีใน E20 เท่านั้น ดังนั้นอาจต้องทำใจว่าม้าจะตกทะเลไปสัก 3-4 ตัวแน่นอน และเป็นสาเหตุว่า ทำไม ผมทำอัตราความเร็วสูงสุดได้น้อยกว่าที่ซูบารุเคลม 226 ก.ม./ช.ม.
สำหรับผมนั่นเป็นเพียงข้อเสียเล็กๆน้อย เมื่อเทียบกับความสนุกมหาศาล เมื่อลองเต็มๆ อาจจะอยากซื้อทันที ถ้าเงินพอใช้ ไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้น มันไม่ใช่รถที่แรงนัก แต่ขับสนุกทุกหนแห่งไปกับคุณได้ทุกที่
ยิ่งใครเป็นคนชอบสะสมรถ สมควรมีไว้ครอบครอง วันนี้ Subaru BRZ มีราคาล้านแปดเป็นค่าตัว วันหน้าอาจจะไม่ลงไปจากนี้มาก เพราะรถสปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ จากผู้ผลิตญี่ปุ่นมีเพียงแฝดของมัน Toyota GT86 ซึ่งก็ไม่มีขายในไทย (เคยชายล็อตเดียวปี 2012) จะมีรถสปอร์ตไหนราคาถูกเท่านี้
อย่าง Toyota Supra ใหม่ ราคาเปิดมาก็ต้อง มี 3 ล้านบวก BRZ เป็นรถที่คุณสามารถเจียดเงินมาซื้อเก็บไว้ขับสนุกๆ ยามแก่ เป็นทรัพย์สินไว้ให้ลูกหลานในฐานะครั้งหนึ่งรถพ่อเคยซิ่ง ถ้าลูกไม่ได้มาทางสายรถซิ่งจะเอาไปขับหล่อๆก็ได้ ถ้าจำเป็นต้องขายวันนี้ราคาขายอาจไม่เท่าไร แต่วันหน้าเมื่อรถก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด กล้าพูดว่ารถคันนี้จะมีราคาค่าตัวสูงมาก ของแต่งก็เยอะ อะไหล่ในญี่ปุ่นก็แยะ แทบจะมีทุก Up Garage เป็นรถสปอร์ตคูเป้ใหม่สุดในตลาด แต่งได้หลากหลายตามต้องการ จะมีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ซื้อมัน…ถ้ามีโอกาส
น่าเสียดายหลายคนลืมสปอร์ตคูเป้คันนี้ไปเสียสนิท Subaru BRZ ว่ามันขายในไทย เวลาเราพูดถึงรถซิ่งก็จะนึกถึง Subaru WRX ซีดานสมรรถนะสูงเจ้าตำนานมากกว่า
ทั้งที่เจ้านี่ขับสนุกไม่แพ้กัน แถมไม่ต้องหวั่นใจเรื่องค่าบำรุงรักษามาก มันไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเท่าเครื่องเทอร์โบความทนทานมีมากกว่า สามารถซิ่งได้ทุกวัน เท่าที่ต้องการไม่มีจำกัด (เครื่อง N/A พังได้ แต่ยากมาก)
เครื่องเทอร์โบแรงกว่าก็จริง แต่มีข้อเสียสำคัญบางประการ เช่น เทอร์โบอาจพังได้ในระยะยาว เมื่อใช้ไปนานๆ หรือ ความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเครื่องเกรดดีๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ รวมถึงเทอร์โบยังถูกจำกัดด้วยช่วงจังหวะการทำงานของเทอร์โบ ไม่มีช่วงกำลังกว้างนัก ถ้าต้องการกำลังเพิ่มต้องเปลี่ยนเทอร์โบลูกใหญ่ ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมากมาย นอกจากเทอร์โบแล้วต้องมานั่งจูนกล่องต่างๆ นานา ดี-ไม่ดีเจอปัญหารอรอบเทอร์โบทำงาน ขับไม่สนุกเหมือนเดิม
สิ่งต่างๆ ที่ผมพูดมานี้เป็นประสบการณ์ตรงจากสมัยครั้งหนึ่งเมื่อเคยซิ่ง มีรถแรงขับได้แต่นั่งไม่สบายนัก ได้ดีเรื่องเดียวคือแรง!! แต่ทำแล้วแต่งแล้ว ไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิมได้ ….
สำหรับผม ในบ้านเวลานี้มีรถ 2 คัน คันหนึ่งคือ Honda Brio ผมเอาไว้ขับเข้าเมือง อีกคันคือ Subaru XV เอาไว้ใช้เดินทางไกล ถ้าให้เลือกว่าจะต้องซื้อรถอีกสักคัน มันต้องเป็นรถที่สะสมได้เก็บได้นานเหมาะกับวิถีชีวิตเรา ที่อาจยังห่วงค่าใช้จ่ายในบ้าน แต่ก็อยากมีโมเม้นท์ขับสนุกในวันว่างบ้าง
ผมกับเดือน ลงความเห็นว่า Subaru BRZ เป็นหมายต่อไปของเรา เราใช้ชีวิตในเมืองมากกว่าเข้าป่าเขาลำเนาไพร เราชอบความเร็วเหมือนๆกัน เราขับเกียร์ธรรมดาได้เหมือนกัน และที่สำคัญ ราคาล้านแปด….ไม่ได้ไกลเกินความเป็นไปได้ที่จะซื้อใน 2-3 ปี ข้างหน้าต่อจากนี้
ผมขอบคุณ ซูบารุที่ให้ทดลองขับรถคันนี้เต็มๆ บนถนน มันสร้างแรงบันดาลใจได้มาก….. ดังคอนเซปต์ที่ เขียนในโบว์ชัวร์ว่า “Born to Drive” มันเป็นรถดีขับสนุก ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับคนชอบขับรถ ไม่มีรถสปอร์ตดิบๆ คันไหนจะให้คุณสนุกเท่ามัน ในราคาที่ใครก็เอื้อมได้อีกแล้ว